อยากได้หุ้น "โอสถสภา" รอซื้อในตลาด

24 ก.ย. 2561 | 12:01 น.
"โอสถสภา" เตรียมเปิดให้จองซื้อหุ้น 1–4 ต.ค. นี้ จากช่วงราคาเสนอขายไอพีโอ หุ้นละ 22.00-25.00 บาท คาดเคาะราคาไอพีโอ 5 ต.ค. นี้

สำหรับสัดส่วนการขายจะเสนอขายหุ้นให้กับผู้ลงทุนในประเทศ รวม 392.25 ล้านหุ้น คิดเป็น 65% แบ่งเป็น บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 24.2% ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ 34.5% ผู้มีอุปการคุณของบริษัท 3% บุคคลที่มีความสัมพันธ์ของบริษัท (กรรมการและผู้บริหาร) 0.5% และพนักงานของบริษัท 2.7% และสัดส่วนเสนอขายหุ้นให้กับผู้ลงทุนในต่างประเทศผ่านผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ รวมประมาณ 211.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 35%

นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บมจ.โอสถสภา (OSP) เปิดเผยว่า OSP เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและหุ้นสามัญเดิม จำนวนไม่เกิน 603.75 ล้านหุ้น แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 506.75 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม คือ บริษัท Orizon Limited จำนวนไม่เกิน 67 ล้านหุ้น และบริษัท Y Investment Ltd จำนวนไม่เกิน 30 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 20.1 % ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ)


โอสถสภา

สำหรับช่วงราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอเบื้องต้น อยู่ที่หุ้นละ 22.00-25.00 บาท ซึ่งจะเปิดให้นักลงทุนทั่วไปจองซื้อในระหว่างวันที่ 1–4 ต.ค. นี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถกำหนดและประกาศราคาเสนอขายหุ้นสุดท้ายได้ในวันที่ 5 ต.ค. 2561 และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงกลางเดือน ต.ค. นี้ ขณะที่ด้าน นายนิติ โอสถานุเคราะห์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ ประสงค์จะขายหุ้นจำนวน 135.7 ล้านหุ้น ในราคาเท่ากับราคาเสนอขาย โดยประสงค์ที่จะขายให้แก่นักลงทุนสถาบันเท่านั้น ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายไอพีโอครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม เงินที่ได้จากการระดมทุนจะใช้พัฒนาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและเติบโตที่ดีต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ มีแผนสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งใหม่ที่ประเทศเมียนมาร์ เพื่อให้สามารถควบคุมการลงทุนได้และมีความยืดหยุ่นในการตอบสนองความต้องการของตลาด รวมถึงพัฒนาปรับปรุงการผลิต การจัดจำหน่ายสินค้า ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการดำเนินธุรกิจภายในของบริษัทฯ การนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป


0-6

"ช่วงราคาที่เสนอขายหุ้นเบื้องต้นที่ 22-25 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคาขายหุ้นสุดท้ายจะถูกกำหนดโดยนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและในต่างประเทศ ด้วยวิธี Bookbuilding ซึ่งการขายหุ้นครั้งนี้ ไม่ขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไป เพราะความต้องการหุ้นมีเพียงพอแล้ว หากใครที่อยากได้ ให้ไปรอซื้อในวันที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" นายอนุวัฒน์ กล่าว

นอกจากนี้ มีนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและในต่างประเทศที่เป็น Cornerstone Investors จำนวน 12 ราย ได้แก่ บลจ.บัวหลวง บลจ.ภัทร บลจ.กรุงไทย บลจ.ทิสโก้ บลจ.ไทยพาณิชย์ บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) AIA Company Limited, Thailand Branch, Aberdeen Standard Investment (Asia) Limited, Templeton Asset Management Ltd., York Capital Asset Management Global Advisory LLC และ The Segantii Asia-Pacific Equity Multi-Strategy Fund ได้ตกลงจองซื้อหุ้นของบริษัทฯ ที่เสนอขายครั้งนี้ เป็นจำนวน 259.34 ล้านหุ้น หรือประมาณ 43% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมดที่ราคาเสนอขายสุดท้าย


hqdefault

นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ OSP กล่าวว่า บริษัทมีความมุ่งมั่นในการรักษาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะเป็นบริษัทฯ ผู้ประกอบธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ ที่มีประสิทธิภาพและมีนวัตกรรมที่ทันสมัยในประเทศไทยและตลาดต่างประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์ "พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต" (The Power to Enhance Life) ที่มุ่งมั่นพัฒนาบริษัทฯ ให้เป็นองค์กรที่เสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคและสังคมด้วยผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่ทันสมัย ด้วยประสบการณ์ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 127 ปี

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเป็นผู้ผลิต ทำการตลาด และผู้จัดจำหน่ายชั้นนำในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลในประเทศไทย และเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในเมียนมาและลาว รวมถึงยังเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวม 25 ประเทศ ผ่านผู้จัดจำหน่าย ขณะเดียวกัน OSP ยังให้บริการอื่น ๆ เช่น บริการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชน ได้แก่ การผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าให้แก่บุคคลภายนอก ภายใต้กิจการร่วมค้าและสัญญาบริการผลิตสินค้า (OEM)

"การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เพื่อเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้มีความแข็งแกร่ง รองรับแผนการรุกขยายธุรกิจครั้งใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของเราที่ต้องการผลักดันการเติบโตแบบก้าวกระโดด และรักษาความเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลในภูมิภาคนี้" นางวรรณิภา กล่าว


O-7

ทั้งนี้ ปัจจุบัน OSP แบ่งการดำเนินธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ประกอบด้วย เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เครื่องดื่มเกลือแร่ กาแฟพร้อมดื่ม และเครื่องดื่มที่มีการเติมส่วนผสมเพื่อให้ได้คุณสมบัติเฉพาะ โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก เช่น เอ็ม-150, เอ็ม-สตอร์ม, ลิโพวิตัน-ดี, ฉลาม, ชาร์คคูลไบท์, โสมอิน-ซัม, เอ็มเกลือแร่ (M-Electrolyte), เอ็ม-เพรสโซ, และเปปทีน 2.ธุรกิจผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ที่ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กภายใต้  แบรนด์ "เบบี้มายด์" และกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้หญิงภายใต้แบรนด์ "ทเวลฟ์พลัส" 3.บริการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชน ซึ่งรวมถึงการรับจ้างผลิตและ/หรือบรรจุหีบห่อผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคลประเภทให้กับกิจการร่วมค้าและบุคคลภายนอก (OEM) เช่น ซี-วิต และคาลพิส การจำหน่ายขวดแก้วตามสัญญาบริการผลิตสินค้า (OEM) และการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพให้แก่กิจการร่วมค้าของบริษัทฯ และ 4.กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ได้แก่ ธุรกิจผลิตภัณฑ์ลูกอมภายใต้แบรนด์ โอเล่ และโบตัน


595959859