มติเอกฉันท์ สนช. เห็นชอบร่าง ก.ม.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

21 ก.ย. 2561 | 07:34 น.
วันที่ 21 ก.ย. 2561 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์ 164 คะแนน เห็นชอบให้ร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ประกาศใช้เป็นกฎหมาย และเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ

สำหรับบรรยากาศระหว่างการประชุมนั้นได้มีสมาชิก สนช. อภิปรายสอบถามถึงสาเหตุที่คณะกรรมาธิการวิสามัญได้ตัดเนื้อหาในบางมาตราออกไป อาทิ มาตรา 4 ที่บทบัญญัติว่าการให้เอกชนผู้รับสัมปทานหรือสัญญาในการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียม ต้องวางเงินเป็นหลักประกันในการรื้อถอนแท่นที่หมดสภาพการใช้งานแล้วหลังหมดอายุสัมปทานหรือสัญญาการสำรวจผลิตปิโตรเลียม และมาตรา 8 ที่มีเนื้อหาว่าด้วยการให้เอกชนต้องวางเงินหลักประกันเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดปัญหาจากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพราะอาจทำให้รัฐเสียประโยชน์

โดย พล.ร.อ.ชัยวัฒน์ เอี่ยมสมุทร สมาชิก สนช. และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ ชี้แจงว่า คณะกรรมาธิการได้พิจารณาลงในรายละเอียด มีเหตุผลที่ต้องตัดมาตรา 4 ออก ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ

1.โดยข้อเท็จจริงผลประกอบการสัมปทานของธุรกิจปิโตรเลียมช่วงปลายสัมปทานมักจะประสบผลขาดทุน เพราะผลผลิตน้อย หากเกิดผลขาดทุนก็จำเป็นต้องเอาผลของการขาดทุนมาหักออกจากหลักประกันที่จะนำมาเป็นรายได้ก่อน ยกตัวอย่าง ในปีที่ผู้รับสัมปทานมาขอคืนหลักประกัน 1 แสนล้านบาท ปรากฎว่า บริษัทมีผลขาดทุน 5 หมื่นล้านบาท จะต้องนำผลขาดทุนหักออกจากมูลค่าหลักประกัน ซึ่งจะเหลือกำไรสุทธิ 5 หมื่นล้าน เมื่อคิดภาษีเงินได้ 40% เท่ากับ 2 หมื่นล้านบาท ดังนั้น แทนที่รัฐจะได้รับภาษีเต็มจำนวน 4 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ถ้าผลการขาดทุนเพิ่มมากขึ้นจนเท่ากับหรือมากกว่ามูลค่าหลักประกันที่นำมาวางไว้ จะทำให้รัฐไม่ได้รับภาษีส่วนนี้คืน

นอกจากนี้ การขอคืนหลักประกันและนำมาเป็นรายได้ยังจะเป็นภาระค่าจ่ายทางภาษีของบริษัท ซึ่งการที่บริษัทประกอบกิจการในช่วงปลายสัมปทาน เมื่อประสบผลขาดทุนและยังต้องมีภาระทางภาษีอีก ก็จะไม่เป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับบริษัททำผลกำไร เช่น กรณีถ้าบริษัทมีผลประกอบการขาดทุนปีนั้น 5 หมื่นล้านบาท เมื่อขอคืนหลักประกัน 1 แสนล้านบาท บริษัทก็จะมีกำไร 5 หมื่นล้านบาท จำเป็นต้องไปหาเงินมาเสียภาษีอีก 2 หมื่นบาท ซึ่งจะไม่เกิดแรงจูงใจเพื่อจะประกอบธุรกิจให้มีกำไร ดังนั้น คณะกรรมาธิการฯส่วนใหญ่เห็นว่า รัฐมีโอกาสสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้ค่อนข้างสูง โอกาสที่จะได้ภาษีมีน้อยมาก

2.จากข้อเท็จจริงที่ปรากฎแล้วว่า ค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนแท่นผลิตและอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทหรือผู้รับสัมปทานสามารถนำมาหักและนำมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวนภาษีเงินได้ได้อยู่แล้ว หมายความว่า ถ้ารื้อถอนไปแล้วและบริษัทมีค่าใช้จ่าย 1 แสนล้านบาท ก็นำเงินจำนวนนี้มาเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อหักภาษี และจะได้รับเงินภาษีคืนไป 4 หมื่นล้านบาท เหมือนกับบริษัทจ่าย 6 หมื่นล้านบาท และรัฐจ่าย 4 หมื่นล้านบาท ในการรื้อถอน

ดังนั้น หากมีกรณีที่ต้องจ่ายภาษีในส่วนของหลักประกันเพิ่มขึ้นอีก เท่ากับว่า รัฐต้องสูญเสียรายได้ในส่วนนี้เป็นต่อที่สอง เช่น ถ้าบริษัทขาดทุนจนไม่ได้รับเงินคืนเลยแทนที่รัฐจะเสีย 4 หมื่นล้านบาทร่วมกับบริษัท รัฐจะเสีย8 หมื่นล้านบาท หรือ 80% ของมูลค่าทั้งหมด ซึ่งรัฐเกือบจะเป็นผู้ดำเนินการรื้อถอนแต่เพียงผู้เดียว

3.การนำหลักประกันมาเป็นค่าใช้จ่ายในทางภาษีนั้น ไม่เคยมีการดำเนินการมาก่อนในประเทศไทย ถ้าตราเป็นกฎหมายออกไปจะเป็นตัวอย่างให้ธุรกิจสัมปทานประเภทอื่น ๆ นำมาเป็นแบบอย่าง และจะเป็นปัญหาทางภาษีหรือรายได้ของรัฐต่อไปในอนาคต

เมื่อคณะกรรมาธิการพิจารณาทั้ง 3 เหตุผลแล้ว จึงเห็นควรให้ตัดมาตรา 4 และมาตรา 8 ออกจากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้

อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะได้ข้อสรุปในเรื่องนี้นั้น คณะกรรมาธิการได้พยายามทางออกอื่น ๆ เช่น การแก้ไขให้เก็บภาษีเต็มจำนวน โดยไม่นำเรื่องผลกำไรขาดทุนมาเกี่ยวข้อง แต่ได้รับคำชี้แจงจากกระทรวงการคลังว่า จะเป็นปัญหาในการเก็บภาษีในอนาคตได้


e-book-1-503x62-7