หากใช้ยอดขายและการสร้างการรับรู้ของแบรนด์เป็นเกณฑ์ตัดสิน ธุรกิจของ
"เอ็มจี" ในเมืองไทย คงจะเริ่มนับหนึ่งแบบจริงจัง ด้วยโปรดักต์อย่าง
"เอ็มจี3" นี่ละครับ
"เอ็มจี3" เปิดตัวครั้งแรกประมาณ 3 ปีที่แล้ว โดยเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ที่เอ็มจีแนะนำสู่ตลาดไทย ต่อจาก
"เอ็มจี6" ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายนัก
จริง ๆ
"เอ็มจี6" ก็ไม่ขี้เหร่อะไรครับ ทว่าการขายรถราคา 1 ล้านบาท โดยแบรนด์น้องใหม่ (ดีลเลอร์ตอนนั้นยังน้อย) แถมเจอคู่แข่งแข็งโป้กทั้ง ฮอนด้า ซีวิค, โตโยต้า อัลติส, มาสด้า3 คงทำตลาดลำบาก ที่สำคัญด้วยความนิยมในรถประเภทเอสยูวีที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ตลาดคอมแพ็กต์คาร์และดีคาร์ (คัมรี่ แอคคอร์ด เทียน่า) ได้รับผลกระทบพอสมควร
สรุปขายยากและเจอศึกรอบด้านกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไป
"เอ็มจี6" เลยแจ้งเกิดไม่ได้ จนกระทั่งได้รถเล็กระดับซับคอมแพ็กต์ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมราคาเข้าถึงง่าย อย่าง
"เอ็มจี3" ที่เปิดตัวในปี 2558 ธุรกิจของเอ็มจีในเมืองไทยก็เริ่มเห็นแสงสว่าง (และเพิ่งมาแจ่มแจ้งจางปางในปีนี้ เมื่อได้เอสยูวีรุ่น
"แซดเอส" มาเสริมทัพ)
โดยยอดขายเอ็มจีดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ จากปีแรก 200 คัน (ปี 2557 ประเดิมขาย MG6 ช่วงกลางปี) พอปีที่ 2 ที่มี
"เอ็มจี3" ทำได้ 3,779 คัน และค่อย ๆ เพิ่มมาเรื่อย ๆ เป็น 12,014 คัน ในปีที่แล้ว ซึ่งเกินครึ่งเป็นของ
"เอ็มจี3" ส่วนปีนี้ตั้งเป้าหมายไว้ 3 หมื่นคัน
ล่าสุด
"เอ็มจี3" ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หรือ
"บิ๊กไมเนอร์เชนจ์" ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก-ภายใน และระบบขับเคลื่อน โดยแบ่งขาย 4 รุ่นย่อย ราคา 5.19-6.29 แสนบาท (ราคาขึ้น 3-4 หมื่นบาท แล้วแต่รุ่น)
หลัก ๆ ของการเปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดเจนในรุ่นท็อป คือ ออกแบบด้านหน้าใหม่ ทั้งกันชน กระจัง โคมไฟ และรายละเอียดในโคมไฟหลัง พร้อมล้ออัลลอย 16 นิ้วลายใหม่
ภายในตกแต่งแผงแดชบอร์ดดูมีสีสันเอาใจวัยรุ่น หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ใหญ่เต็มตา และสะท้อนภาพจากกล้องมองหลัง (เวลาถอยจอด) ออกมาได้ชัดเจนมาก ๆ พร้อมรองรับ i-SMART ระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับรถยนต์ ที่สามารถตรวจสอบสถานะของรถและสั่งงานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนได้
ส่วนขุมพลัง เอ็มจี3 ยังปรับปรุงได้อย่างน่าสนใจ โดยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร DOHC VTi-TECH ให้กำลังสูงขึ้น 6 แรงม้า เพิ่มแรงบิดอีก 15 นิวตัน-เมตร และยกชุดระบบส่งกำลังใหม่ โดยหันมาคบกับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แบบเฟืองและทอร์คคอนเวอร์เตอร์ แทนที่เกียร์คลัตช์ไฟฟ้า Selematic
สุดท้ายประสิทธิผลของเครื่องยนต์บล็อกนี้ ให้กำลังสูงสุด 112 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที และตามข้อมูลของเอ็มจีแจ้งผมว่า รถให้อัตราเร่ง 0-100 กม./กม. ดีขึ้นด้วย หรือเคลมตัวเลขใหม่ไว้ประมาณ 13 วินาที
สำหรับการขับขี่จริง สมรรถนะก็ดูเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น การตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์ดูเป็นธรรมชาติ เนียนละมุนนุ่มกว่าเดิมด้วยการเปลี่ยนเกียร์ชุดใหม่
กล่าวคือ เกียร์ Selematic ที่เคยเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับรถบางรุ่นในอดีต ถ้ายังจับมาใส่ในรถบ้าน เพื่อขับใช้ในชีวิตประจำวันและผจญกับการจราจรหนาแน่นในกรุงเทพฯ อาจจะเวียนหัวพอสมควร
เพราะโครงสร้างและการทำงาน มันก็คือ เกียร์ธรรมดา แต่คนขับไม่ต้องเหยียบคลัตช์และขยับโยกเกียร์เอง ด้วยคลัตช์ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าจะเป็นตัวตัดต่อกำลังให้อัตโนมัติ
ดังนั้น เมื่อขับ ๆ ไป จังหวะเปลี่ยนเกียร์และบุคลิกรถจะโยกดึงเหมือนการเปลี่ยนเกียร์ธรรมดา ซึ่งรถในเครือของ
"เฟียต" อิตาลีใช้กันเยอะครับ
การเปลี่ยนมาเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ย่อมนุ่มนวลกว่า พร้อมขับได้สบาย ไหลไปได้เนียน ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผมชอบอารมณ์แบบนี้มากกว่าเกียร์
"สายพาน-พูเล่" CVT ที่ใช้กับรถญี่ปุ่นเสียอีก (แต่ CVT จะตอบสนองเรื่องการกินนํ้ามันน้อยได้ดีกว่า)
ส่วนการควบคุมและช่วงล่างยังออกแนวสปอร์ตเหมือนเดิม ด้วยพวงมาลัยผ่อนแรง ด้วยไฮดรอลิกที่การควบคุมค่อนข้างมีนํ้าหนักกว่ารถญี่ปุ่น ที่ผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า ส่วนการระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแมกเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นคานทอร์ชันบีม ประกบล้ออัลลอย 16 นิ้ว ยางยี่ห้อ Maxxis ขนาด 195/55R16 หนึบแน่นใช้ได้และให้ความมั่นคง ทรงตัวดีพอสมควรเมื่อขับความเร็วสูง
อย่างไรก็ตาม แรงม้าแรงบิดถึงจะเพิ่มขึ้น แต่เอ็มจียังประสบความสำเร็จในการรักษาอัตราบริโภคนํ้ามันไว้ให้ใกล้เคียงกับรุ่นเก่าหรือดีขึ้นเล็กน้อย โดยอีโคสติกเกอร์ระบุไว้ในโหมดเฉลี่ยทำได้ 6.3 ลิตรต่อ 100 กม. หรือ 15.87 กม./ลิตร (เดิม 6.4 ลิตรต่อ100 กม.หรือ 15.62 กม./ลิตร)
รวบรัดตัดความ ... เอ็มจี3 ใหม่ เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ทั้งรูปโฉม ออพชัน สมรรถนะจากเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ที่ตอบสนองการขับขี่ได้สมดุลลงตัวกว่าเดิม โดยเอ็มจีหวังเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยึดติดกับแบรนด์ดังที่ทำตลาดในไทยมาก่อน และด้วยสไตล์โดดเด่นเป็นของตัวเอง ราคาขายสูสีสู้อีโคคาร์ และตํ่ากว่ารถแฮตช์แบ็กพิกัดเครื่องยนต์เดียวกัน อย่าง
"ฮอนด้า แจ๊ซ" ... ดูแล้วดูดีมีการทำการบ้านครับสำหรับแบรนด์นี้
……………….
คอลัมน์ : เทสต์ไดรฟ์ โดย กรกิต กสิคุณ
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,403 วันที่ 23-26 ก.ย. 2561 หน้า 33