ศึกการค้าจีนเสียเปรียบสหรัฐ

เศรษฐกิจจีนจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามากกว่าสหรัฐฯ ซึ่งหมายถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปีหน้า (2562) อาจจะลดลงได้ถึง 0.6% จากกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ขณะเดียวกัน แม้สหรัฐฯจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าในขณะนี้ แต่แนวโน้มความเสียหายจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากสงครามการค้าที่มีกับจีนยืดเยื้อต่อไปและลดความมั่นใจของผู้บริโภคและภาคเอกชนลงไปเรื่อยๆเช่นกัน

ความคาดหมายที่ว่าจีนจะได้รับผลกระทบมากกว่าสหรัฐฯนั้นเป็นเพราะว่า การเติบโตของเศรษฐกิจจีนขึ้นอยู่กับการส่งออกมาก ซึ่งก็หมายถึงโอกาสที่จะได้รับความเสียหายจากการตั้งกำแพงภาษีโดยประเทศคู่ค้าจึงมากตามไปด้วย เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (17 กันยายน) สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีน 10% คิดเป็นมูลค่ารวม 200,000 ล้านดอลลาร์ มีผลตั้งแต่วันที่ 24 กันยายนศกนี้เป็นต้นไป ทางการจีนก็ได้โต้ตอบทันทีด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราเพิ่ม 5-10% คิดเป็นมูลค่ารวม 60,000 ล้านดอลลาร์มีผลในวันเดียวกัน นอกจากนี้ เมื่อขึ้นปีใหม่ คือนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป สหรัฐฯจะเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีกจาก 10% เป็น 25%

จากมาตรการตอบโต้กันดังกล่าวทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งคาดหมายว่า ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปีหน้า (2562) น่าจะลดลง 0.5-0.6%

นายอีธาน แฮริส หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์โลกของธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ให้ความเห็นว่า ถ้าหากทั้ง 2 ฝ่ายเลือกที่จะขึ้นภาษีสินค้าทุกชนิดที่ค้าขายระหว่างกัน ผลกระทบที่จีนจะได้รับก็จะมากกว่าผลกระทบที่สหรัฐฯจะได้รับถึง 4 เท่า เนื่องจากจีนส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ  มากกว่าสหรัฐฯส่งสินค้ามายังจีนถึง 4 เท่า ดังนั้นทางแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ จึงคาดหมายว่า ในปีหน้า เศรษฐกิจจีนจึงน่าจะเติบโตที่อัตราเพียง 6.1% แม้จะคำนวณรวมปัจจัยกระตุ้นทางเศรษฐกิจไว้ด้วยแล้วก็ตาม

ด้านสหรัฐฯ เป็นที่คาดหมายว่าสงครามการค้าจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจขยายตัวลดลง 0.1 หรือ 0.2% อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐฯมีการปรับขึ้นภาษีเพิ่มอีกจาก 10% เป็น 25% ในต้นปีหน้าและฝ่ายจีนมีมาตรการตอบโต้กลับมา ก็เชื่อว่าสหรัฐฯจะได้รับผลกระทบมากขึ้น คือการเติบโตทางเศรษฐกิจจะลดลง 0.2-0.3% นั่นหมายถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อัตราเพียง 2.7% เท่านั้น

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,403 ระหว่างวันที่ 23-26 กันยายน 2561