สนค. ยัน! สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ส่งผลดีต่อไทย

19 ก.ย. 2561 | 08:19 น.
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ชี้! ไทยมีศักยภาพส่งออกสินค้าทดแทนจีนในตลาดสหรัฐฯ หลายรายการ สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ยัน! ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญร่วมหารือแนวทางการดำเนินยุทธศาสตร์การค้า เพื่อกำหนดจุดยืน

น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สหรัฐฯ เดินหน้าใช้มาตรการภาษีตอบโต้จีนเพิ่มเติมจำนวน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังเสร็จสิ้นกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา และการเจรจากับจีนยังคงไม่ได้ข้อสรุปที่น่าพอใจสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย โดยเมื่อวันที่17 ก.ย. 2561 สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีน จำนวน 5,745 รายการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตรา 10% บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. 2561 ก่อนปรับเป็นอัตรา 25% ในวันที่ 1 ม.ค. 2562 โดยคาดว่า จีนจะตอบโต้สหรัฐฯ เร็ว ๆ นี้ ตามที่ได้ขู่ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ 5,207 รายการ 5-25% มูลค่ารวม 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ทั้งนี้ ในจำนวนรายการสินค้าที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนั้น สนค. ประเมินว่า ไทยยังมีศักยภาพส่งออกสินค้าทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ หลายชนิด อาทิ สินค้าเกษตร เช่น ถั่วแห้ง แผ่นยางสดรมควัน ข้าวสี (Rice Milled) ยางแท่ง ผักผลไม้สด แช่แข็ง แช่เย็น และแปรรูป เช่น กล้วย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง มังคุด มะละกอ สับปะรด เป็นต้น อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป อาทิ ปลาทูน่าบิ๊กอาย (Big Eye Tuna) ปลาทูน่าท้องแถบ (Skipjack Tuna) ปลาทูน่าครีบเหลืองสดและแช่แข็ง (Yellowfin Tuna)

เนื้อปลาแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ อาทิ น้ำผึ้งธรรมชาติ อาหารปรุงแต่งและเครื่องดื่ม อาทิ อาหารสุนัข/แมวสำหรับขายปลีก เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ที่ไม่ใช่น้ำผลไม้) เคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติก อาทิ กรดซิตริก ยานยนต์และส่วนประกอบ อาทิ เครื่องยนต์สันดาปภายใน ยางรถยนต์ (Pneumatic Radial Tyres) โดยสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกทดแทนสินค้าจีนสูง ได้แก่ ข้าวสี ยางแท่ง มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง มังคุด น้ำผึ้งธรรมชาติ กรดซิตริก เครื่องยนต์สันดาปภายใน


8594373630158

อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ได้ตัดสินค้าออกเกือบ 300 รายการ (มูลค่าประมาณ 1,064 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ออกจากรายการเดิมที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เสนอไว้ 6,031 รายการ เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุผลเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคและความจำเป็นต่ออุตสาหกรรมการผลิต และส่วนใหญ่เป็นสินค้า 1.อิเล็กทรอนิกส์ในชีวิตประจำวัน อาทิ นาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watches) อุปกรณ์บลูทูธ (Bluetooth Devices), 2.เคมีภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการผลิต อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม และการเกษตร และ 3.อุปกรณ์เพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค เช่น หมวกกันน็อก ที่นั่งสำหรับเด็ก (Car Seats) คอกสำหรับปล่อยให้เด็กเล่น (Playpens)

อย่างไรก็ตาม ยังคงมองว่า สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ยังไม่มีทีท่ายุติในระยะอันใกล้ โดยมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น โดย สนค. ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ดังกล่าว ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งจากหน่วยงานรัฐ ภาควิชาการ และความมั่นคง ร่วมหารือแนวทางการดำเนินยุทธศาสตร์การค้า เพื่อกำหนดจุดยืน (Position) ที่เหมาะสมของประเทศไทยในห้วงสงครามการค้า และการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการค้า (Trade) การลงทุน (Investment) ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) เพื่อให้ได้ข้อมูลทั้งภาพกว้าง อาทิ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และข้อมูลเชิงลึก อาทิ ประเด็นด้านความมั่นคง

สำหรับผู้เชี่ยวชาญฯ เข้าร่วมการหารือในครั้งนี้ ได้แก่ รศ.ดร.สมเกียรติ โอสถสภา คณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคง สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ, รศ.ดร.ชโยดม สรรพศรี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองใน 2 ระดับ คือ แนวทางการดำเนินยุทธศาสตร์มหภาคในภาพกว้าง และแนวทางการรับมือสงครามการค้า

"ความเห็นที่น่าสนใจจากการหารือรอบนี้ เช่น ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับประเด็นหลาย ๆ ด้านประกอบกัน โดยเฉพาะการหาพันธมิตรในโลกการค้าปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ประเด็นความมั่นคงจะมีความเชื่อมโยงกับนโยบายเศรษฐกิจมากขึ้น และไทยควรจะใช้โอกาสจากการเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 เพื่อเสริมสร้างกลไกที่อาเซียนมีอยู่แล้วให้เข้มแข็งมากขึ้น เพื่อให้อาเซียนสามารถรับมือกับภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงได้"


1805210091-00-สงครามการค้า-สหรัฐ-จีน

ขณะที่ ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น นักวิชาการเห็นพ้องกันว่า เบื้องต้น ต้องเน้นการรักษาความมีเสถียรภาพ (Stability) ก่อน ซึ่งคิดว่าไทยสามารถทำได้ดี เพราะมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เป้าหมายต่อไปต้องสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและในสายตานักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งต้องเน้นย้ำจุดแข็งความเป็น World Class ของไทยในด้านต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน การดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศควรต้องคำนึงถึงการกระจายผลประโยชน์ไปถึงเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ให้ต่อเนื่องมากขึ้น เพื่อสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจด้วย และคงจะจัดประชุมในลักษณะนี้อีกเพื่อหารือในวงกว้างมากขึ้น เพราะนอกจากประเด็นสงครามการค้าแล้ว ประเทศไทยยังเผชิญกับความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่แต่ละภาคส่วนควรให้ความสำคัญ อาทิ วิกฤตเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) และเรื่องความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยต้องมีมุมมองเชิงกว้างจากการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งมองไปในอนาคต เพื่อเตรียมรับมือกับยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 (4IR) ที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วต่อไป

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว