เก็งกำไรหุ้นรับเหมา

20 ก.ย. 2561 | 02:50 น.
 

>> รับเลือกตั้งดักทุนนอกไหล  โบรกฯแนะเก็บ STEC CK SEAFCO
รับกระแสการเมือง-ดักเงินต่างชาติ บล.เอเชียเวลท์ฯ มองกรอบเลือกตั้งชัด สัญญาณเชิงบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หลังรัฐเร่งเปิดประมูลงานรถไฟฟ้า-มอเตอร์เวย์ภายในสิ้นปีมูลค่าร่วม 4.5 แสนล้านบาท หนุนกำไรของกลุ่มครึ่งปีหลัง บล.แอพเพิล เวลธ์ฯ แนะเก็บ CK, STEC, AMATA, WHA, CPALL, VGI, PLANB, BBL, KBANK
กรอบการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนขึ้น หลัง มีพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.  โดยพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดให้มีผลใช้บังคับในอีก 90 วันนับแต่วันประกาศลงราชกิจจานุเบกษาซึ่งตรงกับวันที่ 12 ธันวาคม 2561 โดยการเลือกตั้งต้องมีขึ้นภายใน 150 วันนับจากวันดังกล่าวหรือภายในเดือนพฤษภาคม 2562 MP17-3402-A

นายอภิชัย เรามานะชัย  รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์แอพเพิล เวลธ์ฯ (Apple) กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากสถิติที่การทยอยลงทุนในตลาดหุ้นไทยก่อนการเลือกตั้งเกิดขึ้นจะให้ผลตอบแทน 4-20% และกลุ่มที่จะได้ประโยชน์กับกระแสการเมือง 4-5 กลุ่มใหญ่คือรับเหมาก่อสร้าง จะเห็นว่ารัฐบาลได้เร่งโครงการก่อสร้าง โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้  (เตาปูน-วงแหวนกาญจนาภิเษก) ทั้ง 2 สายรวมกันเป็นมูลค่าลงทุนกว่า 2.7 แสนล้านบาท คาดครม.จะอนุมัติภายในสิ้นปีนี้และประกาศทีโออาร์ได้ช่วงต้นปี 2562 หุ้นกลุ่มนี้ได้แก่ CK  (ราคาเป้าหมาย 30.5 บาท), STEC (ราคาเป้าหมาย 25.30 บาท)

กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการนิคมอุตสาห กรรม แนะนำหุ้น AMATA (ราคาเป้าหมาย 25.6 บาท) WHA  (ราคาเป้าหมาย 4.80 บาท) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนเพิ่มของรัฐและผลต่อการบริโภคเติบโตตาม เช่น หุ้น ROBINS (ราคาเป้าหมาย 73 บาท)  CPALL (ราคาเป้าหมาย 89 บาท) กลุ่มสื่อได้อานิสงส์ทั้งกลุ่มทั้ง VGI (ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท)  PLANB (ราคาเป้าหมาย 7.90 บาท) และหุ้นกลุ่มธนาคาร BBL (วางราคาเป้าหมาย 220 บาท) , KBANK (ราคาเป้าหมาย  230 บาท )

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเชียเวลท์ (ASW) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กรอบการเลือกตั้งที่ชัดเจนถือเป็น Sentiment เชิงบวกอย่างมากต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/2561 ของกลุ่มจะเพิ่มขึ้น จากการเร่งรัดงานก่อสร้างงานรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ เป็นหลัก นำโดย STEC ที่มีงานก่อสร้างรถไฟฟ้าถึง 3 สาย คือ 1. สายสีส้ม ( JV กับ CK โดย STEC ถือ  40% CK 60%)  2. สายสีชมพู และ 3. สายสีเหลือง ส่วน CK มีการก่อสร้างสายสีส้ม (JV 60%) และงาน M&E สายสีนํ้าเงิน ในขณะที่ผู้รับเหมาฐานรากก็ได้รับอานิสงส์จากการเร่งรัดงานจากผู้รับเหมาหลักด้วย โดย PYLON เป็นผู้รับเหมาช่วงรถไฟฟ้าสายสีเหลืองจากทาง STEC ส่วนทาง SEAFCO เป็นผู้รับเหมาช่วงรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีส้มจากทาง STEC เช่นกัน

ในขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังรัฐได้พยายามเร่งการเปิดประมูลงานรถไฟฟ้า 2 สายและงานมอเตอร์เวย์ 1 สาย มูลค่ารวม 4.5 แสนล้านบาท ออกมาให้ทันภายในสิ้นปี 2561   ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-วงแหวนกาญจนาภิเษกและโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี มูลค่าลงทุนรวม 3.7 แสนล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายคาดจะเสนอให้คณะกรรมการ PPP พิจารณาได้ภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงโครงการมอเตอร์เวย์นครปฐม-ชะอำมูลค่า 7.9 หมื่นล้านบาทในรูปแบบ PPP Net cost

นอกจากนี้ยังมีโครงการรถไฟรางคู่เฟส 2 จำนวน 9 เส้นทาง มูลค่ารวม 4 แสนล้านบาท ที่จะเริ่มทยอยเปิดประมูลได้ภายในต้นปี 2562 นี้เป็นต้นไป MP17-3402-B

บล.เอเชียเวลท์ฯ ให้นํ้าหนักการลงทุน Neutral สำหรับหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หุ้นแนะนำ ได้แก่ STEC จากการมี Backlog มากสุดถึง 1.2 แสนล้านบาทปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 23.00 บาท เป็น 26.00 บาท ส่วนใหญ่ Backlog ของ STEC ยังเป็นงานรถไฟฟ้าที่มีมาร์จินดี ส่วน CK  (ราคาเป้าหมาย 29.50 บาท) มีโอกาสได้งานในอนาคตสูง และยังมีรายได้จากบริษัทย่อย คือ BEM, TTW, CKP ส่วนกลุ่มรับเหมาฐานราก แนะนำหุ้น SEAFCO  (ราคาเป้าหมาย 9.70 บาท )และ PYLON (ราคาเป้าหมาย 7.50 บาท)  เนื่องจากมี Backlog เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งงานภาครัฐและเอกชน

ด้านนายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ฯ กล่าวว่า นักลงทุนต่างประเทศน่าจะเริ่มกลับมามีสถานะซื้อสุทธิได้ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 จากการเลือกตั้งที่คาดจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2562

“บล.ทิสโก้คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อสุทธิราว 1 แสนล้านบาทในช่วง 6 เดือนก่อนถึงวันเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจาก 8 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ส.ค.61) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมแล้วกว่า1.9 แสนล้านบาท ประเมินว่าแรงซื้อในครั้งนี้จะหนุนให้ดัชนี SET ขึ้นไปทดสอบที่ 1800 จุด ในช่วงสิ้นปี 2561 และปรับขึ้นไปทดสอบระดับที่ 1850 จุดในไตรมาส 1/2562 ได้”

หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,402 วันที่ 20-22 กันยายน 2561