ครม.ไฟเขียวคืน VATส่วนหนึ่งจากซื้อสินค้าให้คนจนเพิ่มอำนาจซื้อ-ออม

18 ก.ย. 2561 | 11:08 น.
ครม.ไฟเขียวคืน VATส่วนหนึ่งจากซื้อสินค้าให้กับผู้มีรายได้น้อยเพิ่มอำนาจซื้อ-ออม

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)(18 ก.ย. 61) เห็นชอบโครงการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้กับผู้มีรายได้น้อยในการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อสินค้า โดยจะแยกเป็น 3 ส่วน คือจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บไปทั้งหมด 7% นั้น จะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ถือบัตรต้องเสียจริง 1% โดย 5% จะคืนให้กับผู้ถือบัตร โดยจ่ายคืนผ่าน e-money เพื่อนำไปใช้ซื้อสินค้าในร้านธงฟ้าและร้านที่เข้าร่วมโครงการของรัฐบาล ส่วนอีก 1% จะนำเข้าสมทบในกองทุนการออมแห่งชาติของบุคคลดังกล่าว หรือนำเข้าบัญชีไว้ แต่ทั้งนี้วงเงินคืน VAT จะต้องไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน
govhouse-10 ทั้งนี้ โครงการคืนภาษี VATนี้ จะมีระยะเวลาเพียง 6 เดือน คือเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.61 - 30 เม.ย.62 เป็นมาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษี VAT ที่ผู้มีรายได้น้อยชำระ ซึ่งกระทรวงการคลัง ระบุว่า การที่ผู้มีรายได้น้อยใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคนั้น หากผู้ขายเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ราคาสินค้าจะมีภาษี VAT รวมอยู่ด้วยในอัตรา 7% ทำให้ผู้มีรายได้น้อยต้องรับภาระภาษีในส่วนนี้

"ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม และส่งเสริมให้เกิดการออมเงินในกลุ่มของผู้มีรายได้น้อย สนับสนุนให้มีจำนวนผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งยังส่งเสริมการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดตามนโยบายรัฐบาล จึงเห็นควรกำหนดเป็นมาตรการดังกล่าวออกมา"
san18-9 พล.ท.สรรเสริญกล่าวต่อว่า สำหรับข้อมูลจำนวนภาษี VAT ที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระราคาสินค้าและบริการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ไม่รวมสินค้าและบริการที่มีภาษีสรรพสามิต) ที่ร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือร้านค้าเอกชนที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว จะนำส่งให้กรมบัญชีกลางผ่านระบบที่ธนาคารกรุงไทย พัฒนาเพื่อรองรับการทำงานนี้คือ เครื่องบันทึกการเก็บเงิน : Point of Sale หรือ POS เพื่อนำไปประมวลผลคัดแยกจำนวนภาษี VAT 7% ออกจากราคาสินค้าและบริการที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจริงในแต่ละเดือน โดยจะกันไว้ 1% ซึ่งเป็นภาษี VAT ที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระราคาสินค้าและบริการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว

ส่วนที่เหลืออีก 6% จะแบ่งเป็น 5% เพื่อให้กรมบัญชีกลางโอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในแต่ละเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ส่วนที่เหลืออีก 1% จะโอนผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้กับบัญชีของผู้มีรายได้น้อยที่เป็นสมาชิก กอช. แต่หากผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ขาดคุณสมบัติในการเป็นสมาชิก กอช. ให้กระทรวงการคลังหารือกับธนาคารต่างๆ เพื่อเปิดบัญชีเงินฝากระยะยาวรองรับการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดังกล่าว โดยให้ธนาคารพิจารณาผลตอบแทนที่เหมาะสม รวมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชี

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว