'หอการค้าไทย' มั่นใจ Trade War ปะทุรอบใหม่ "ไทยได้อานิสงส์"
หอการค้าไทยมั่นใจ Trade War ปะทุรอบใหม่ "ส่งผลดีต่อไทย" ทั้งด้านการส่งออกและการลงทุน เชื่อการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นจะทำให้นักลงทุนมั่นใจเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้เข้ามาลงทุนกันเพิ่มมากขึ้น ด้านความเชื่อมั่นภาคเอกชนสูงสุดในรอบ 8 เดือน หลังการท่องเที่ยวขยายตัว ฉุดให้ภาคบริการโดยรวมดีขึ้น
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการ หอการค้าไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ "สหรัฐอเมริกา-จีน" เตรียมทำสงครามการค้า (Trade War) รอบใหม่ (สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 5,745 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) นั้น ในส่วนของเอกชนมองว่า ไม่อยากให้ทั้ง 2 ฝ่าย มีปัญหากัน และแม้ว่าทั้ง 2 ฝ่าย จะมีความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่การส่งออกไทยก็ยังขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยส่วนตัวจึงมองว่า ยิ่งทั้ง 2 ฝ่าย ขัดแย้งกัน ไทยจะยิ่งได้อานิสงส์ในเชิงบวก ทั้งด้านการส่งออกและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 24 ก.ย. นี้ ภาคเอกชนจากบริษัทชั้นนำในสหรัฐอเมริกา 50 ราย และเอกชนสหรัฐฯ ในไทย และจากภูมิภาคเอเชีย อีกราว 150 ราย จะเดินทางมาร่วมการประชุมหอการค้าไทย-สหรัฐฯ ที่โรงแรมดุสิตธานี ในโอกาสนี้จะเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยด้วย ในจำนวนนี้มีนักธุรกิจสหรัฐฯ หลายรายที่เข้าไปลงทุนในจีน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะพิจารณาเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเติม เฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อีอีซี ในฐานะที่ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน และเพื่อยังคงรักษาตลาดจีนไว้ ประกอบกับไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และไทยเองก็จะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น และจะยิ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นหอการไทย ซึ่งสำรวจจากสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศ พบว่า ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 49.8 ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 8 เดือน เป็นผลมาจากการท่องเที่ยวขยายตัวดี ฉุดให้ภาคบริการโดยรวมดีขึ้น ประกอบกับราคาพืชผลทางการเกษตรปรับตัวดีขึ้น มีการส่งออกเพิ่มมากขึ้น ดอกเบี้ยคงที่ และรัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งใกล้เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ทำให้ภาคธุรกิจมั่นใจสถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สมาชิกหอการค้าไทยได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ยังกระจุกตัว โดยเฉพาะภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง ที่ได้อานิสงส์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย และยังต้องเผชิญปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวมทั้งยังถูกซ้ำเติมจากปัญหาอุทกภัย และธนาคารยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลบริหารจัดการให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจกระจายสู่ภูมิภาคมากขึ้นด้วย
ด้าน รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าสงครามการค้าที่กำลังจะปะทุขึ้นรอบใหม่จะไม่กระทบการส่งออกของไทย ในทางตรงกันข้ามจะยิ่งเป็นโอกาสของไทยเพราะจะทำให้มีการนำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้น
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการ หอการค้าไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ "สหรัฐอเมริกา-จีน" เตรียมทำสงครามการค้า (Trade War) รอบใหม่ (สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 5,745 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) นั้น ในส่วนของเอกชนมองว่า ไม่อยากให้ทั้ง 2 ฝ่าย มีปัญหากัน และแม้ว่าทั้ง 2 ฝ่าย จะมีความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่การส่งออกไทยก็ยังขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยส่วนตัวจึงมองว่า ยิ่งทั้ง 2 ฝ่าย ขัดแย้งกัน ไทยจะยิ่งได้อานิสงส์ในเชิงบวก ทั้งด้านการส่งออกและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 24 ก.ย. นี้ ภาคเอกชนจากบริษัทชั้นนำในสหรัฐอเมริกา 50 ราย และเอกชนสหรัฐฯ ในไทย และจากภูมิภาคเอเชีย อีกราว 150 ราย จะเดินทางมาร่วมการประชุมหอการค้าไทย-สหรัฐฯ ที่โรงแรมดุสิตธานี ในโอกาสนี้จะเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยด้วย ในจำนวนนี้มีนักธุรกิจสหรัฐฯ หลายรายที่เข้าไปลงทุนในจีน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะพิจารณาเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเติม เฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อีอีซี ในฐานะที่ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน และเพื่อยังคงรักษาตลาดจีนไว้ ประกอบกับไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และไทยเองก็จะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น และจะยิ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นหอการไทย ซึ่งสำรวจจากสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศ พบว่า ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 49.8 ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 8 เดือน เป็นผลมาจากการท่องเที่ยวขยายตัวดี ฉุดให้ภาคบริการโดยรวมดีขึ้น ประกอบกับราคาพืชผลทางการเกษตรปรับตัวดีขึ้น มีการส่งออกเพิ่มมากขึ้น ดอกเบี้ยคงที่ และรัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งใกล้เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ทำให้ภาคธุรกิจมั่นใจสถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สมาชิกหอการค้าไทยได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ยังกระจุกตัว โดยเฉพาะภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง ที่ได้อานิสงส์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย และยังต้องเผชิญปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวมทั้งยังถูกซ้ำเติมจากปัญหาอุทกภัย และธนาคารยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลบริหารจัดการให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจกระจายสู่ภูมิภาคมากขึ้นด้วย
ด้าน รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าสงครามการค้าที่กำลังจะปะทุขึ้นรอบใหม่จะไม่กระทบการส่งออกของไทย ในทางตรงกันข้ามจะยิ่งเป็นโอกาสของไทยเพราะจะทำให้มีการนำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้น
