นายสุรจิต ชิรเวทย์ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ในวันที่ 21 ก.ย. 2561 จะเข้าสู่วาระ 2 ก็คือ การพิจารณาเรียงมาตราจะมีการอภิปรายให้สมาชิกเห็นชอบที่จะปรับแก้ไข สมาชิกในสภาสามารถลุกขึ้นอภิปรายได้ทั้งหมด เพราะทางคณะกรรมาธิการก็มีการปรับแก้ไขทั้งฉบับ และจากนั้นจะเข้าสู่วาระที่ 3 ทันที ว่า ทางสภาจะรับทั้งฉบับหรือไม่ เรียกว่าเป็นการชี้ชะตาร่างกฎหมายน้ำเลยก็ว่าได้ ว่า จะคว่ำหรือผ่านสภาหรือไม่
ทางคณะกรรมาธิการ ยอมรับว่า มีความกังวลเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรนํ้าสาธารณะ ประเภทที่ 2 เพื่อการเกษตร หรือการเลี้ยงสัตว์เพื่อพาณิชย์ การอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การผลิตพลังงานไฟฟ้า การประปาและกิจการอื่น ส่วนกลุ่มนํ้าประเภทที่ 3 ได้แก่ การใช้ทรัพยากรนํ้าสาธารณะเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้นํ้าปริมาณมาก หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบข้ามลุ่มน้ำ หลังกฎหมายประกาศใช้แล้ว 120 วัน (ปรับแก้ไขจากเดิม 180 วัน) จะผ่อนปรน 2 ปี แล้วให้ไปรับฟังความคิดเห็นในแต่ละลุ่มน้ำ ก่อนถึงจะมีการจัดเก็บค่าใช้น้ำ ปัจจุบัน มีการเก็บค่าน้ำอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะไม่ทราบ แต่กฎหมายนี้จะชัดเจนขึ้น
นายสุรจิต กล่าวถึงความจำเป็นในการที่จะต้องมีร่างกฎหมายนี้ออกมา เพื่อให้มีองค์กรกลางในการบริหารทรัพยากรน้ำ เนื่องจากปัจจุบันมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 42 หน่วยงาน และมี พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้องถึง 38 ฉบับ รวมทั้งบทบัญญัติในกฎหมายบางส่วนซับซ้อนและไม่เชื่อมโยง มีช่องว่าง ไม่ครอบคลุมการปฏิบัติภารกิจในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ดังนั้น ต้องมีการปฏิรูปทรัพยากรน้ำด้วยกฎหมายฉบับนี้
ขณะที่ นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... กล่าวว่า การที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้นั้น กฎหมายนี้จะคลอดยาก อาจจะย้อนกลับไปที่จุดเดิม