‘SEADEX’ สร้างเครดิตเอ็กซ์เชนจ์ ดันคุณภาพเทียบชั้นโลก

13 ก.ย. 2561 | 03:12 น.
สัปดาห์ทีผ่านมา ก.ล.ต.ได้อนุญาตให้บริษัท เซาท์อีส เอเชีย ดิจิทัล เอ็กซ์เชนจ์ จำกัด หรือ SEADEX สามารถประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอลต่อไปได้ตามบทเฉพาะกาลและนับเป็นรายที่ 8

SEADEX ก่อตั้งโดยนายเจฟโจว  วาณิชธนากร จากรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ร่วมกับ Lbank ซึ่งเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตอลหรือเอ็กซ์เชนจ์อันดับ 7 ของโลกจดทะเบียนในฮ่องกง และนักลงทุนไทย  (private investors)   สัดส่วนถือหุ้น 49:51 โดยเปิดดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

นายเจฟโจว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง SEADEX ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัทมีความสนใจประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตอล ในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเหตุที่เลือกประเทศไทย เพราะมีตลาดคริปโตเคอร์เรนซีและประชาชนให้ความสนใจในการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ ประกอบกับไทยมีเอ็กซ์เชนจ์ไม่กี่ราย และมีกฎหมายรองรับ จึงต้องการจะต่อยอดความเป็นเอ็กซ์เชนจ์ระดับโลก

[caption id="attachment_316258" align="aligncenter" width="264"] เจฟโจว วาณิชธนากร เจฟโจว วาณิชธนากร[/caption]

“เราคาดว่าจะเห็นการพัฒนาของตลาดสินทรัพย์ดิจิตอลหลังก.ล.ต.มาจัดระเบียบกฎเกณฑ์ เหมือนกรณีตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนให้ความสนใจกับตลาดสินทรัพย์ดิจิตอลมากขึ้นแทนที่จะมีแต่นักเก็งกำไร”

แผนธุรกิจในระยะแรก SEADEX จะเน้นทำให้เอ็กซ์เชนจ์เป็นที่น่าเชื่อถือ  เริ่มด้วยการนำสินทรัพย์ดิจิตอลที่คนรู้จักและให้ความยอมรับมาซื้อขายก่อน เช่น BTC, ETH และเงินบาท พร้อม ทั้งสร้างเครือข่ายธุรกิจร่วมกับบริษัทที่ทำบล็อกเชนชั้นนำทั้งในไทยและทั่วโลก และจะนำเข้าเอ็กซ์เชนจ์ในอนาคต ตั้งเป้ามูลค่าการซื้อขายต่อวัน ประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 160 ล้านบาท) โดยมีรายได้รวมปีแรก (สิ้นปี 2562) ไม่น้อยกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,600 ล้านบาท)

“ปีนี้เป็นปีที่ยากของธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอล เพราะคนส่วนใหญ่กลัว ICO ปลอม หลายๆเอ็กซ์เชนจ์ใจร้อน เลือกเหรียญดิจิตอลที่ไม่มีคุณภาพและไม่มีพื้นฐาน ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ นักลงทุนก็สูญเสียเงิน เราหลีกเลี่ยงจุดนี้โดยเลือกแต่สิ่งที่มีคุณภาพ และค่อยเป็นค่อยไปในเวลาที่เหมาะสม แผนในปีแรก SEADEX จึงเน้นสร้างเครดิตเสียก่อน ด้วยจุดแข็ง SEADEX  ที่เป็นเจ้าตำรับ blockchain อันดับต้นของโลกและPlatform พัฒนาโดย exchange  Lbank เราเล็งเห็นถึงการรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สินลูกค้า  ป้องกันการถูก hack ข้อมูล”

นายเจฟโจว มองแนวโน้มสินทรัพย์ดิจิตอลในไทยว่า บิตคอยน์จะโตก่อน และเหรียญที่มีพื้นฐานสามารถตรวจสอบการซื้อขาย (ออนไลน์) จะมีอนาคตและค่อยๆโตตามมา ส่วนเหรียญอีก 90% ในตลาดหรือเป็น air token ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับและไม่มีมูลค่าจริง ในที่สุดก็ถูกขายทิ้งออกจากตลาดไป คนจะหันไปซื้อเหรียญที่มีคุณภาพ อย่างบิตคอยน์  จาก 2 ปีที่แล้วมีราคาแค่ 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อมาก็ 4,000 และปีนี้เป็น 7,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

นอกจากนี้การมี ก.ล.ต. เข้ามากำกับดูแลจะช่วยสร้างความโปร่งใสมากขึ้น  สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน นักลงทุนจะเข้าถึงข้อมูลได้ดีกว่าเดิม ซึ่งจะทำให้ตลาดคริปโตฯมีคุณภาพมากขึ้น เช่นเดียวกับบล็อกเชนที่พัฒนาโดยคนไทยและดังไปทั่วโลกจนเป็นที่ยอมรับก็มี เช่น OMG Omise Go มีมูลค่าซื้อขายสูงและเทรดในหลายๆเอ็กซ์เชนจ์ทั่วโลก

อย่างไรก็ดีซื้อขายนอกตลาดหรือตลาดแรกจะมากกว่าตลาดรอง เนื่องจากนักลงทุนรายใหญ่ส่วนใหญ่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน และไม่ต้องการให้มูลค่าที่จะซื้อหรือขายถูกกระทบด้วยราคาตลาด  ต่างกับการซื้อขายในเอ็กซ์เชนจ์ที่จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูล ขณะที่รายย่อยมักเข้ามาเก็งกำไรมากกว่าคล้ายๆกับตลาดหุ้นไทย การเทรดค่อนข้างน้อย

หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,400 วันที่ 13-15 กันยายน 2561 พี่ปุ้ย