ครม.เคาะ5.5พันล้าน อุ้ม "ขสมก.-รฟท." จี้ทำ3เรื่องแก้ปัญหาสภาพคล่อง

11 ก.ย. 2561 | 12:36 น.
 

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันที่ 11 กันยายน 2561 มีมติเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2562 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 2,251.644 ล้านบาท และเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2562 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 3,333.371 ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ  รวม 2 รัฐวิสาหกิจวงเงินรวมกว่า 5.5 พันล้านบาท

โดยครม. ให้ ขสมก. และ รฟท. รายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ ในการดำเนินกิจกรรมมาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 28  แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังทราบ  เพื่อจะได้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้การประมาณการรายได้และค่าใช้จ่าย  ต้นทุนของการให้บริการสาธารณะ ในการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของขสมก.และรฟท.เป็นไปอย่างเหมาะสม สามารถสะท้อนรายได้และต้นทุนที่แท้จริงของการให้บริการสาธารณะได้อย่างถูกต้อง เห็นควรให้กระทรวงการคลัง  กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไปนี้

1.ให้ขสมก.และรฟท. เร่งจัดทำต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการให้แล้วเสร็จโดยด่วน ตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้มีมติมอบหมายไว้ ซึ่งครม.ได้มีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 และ 4 เมษายน 2560 ด้วยแล้ว ทั้งนี้ เพื่อนำข้อมูลต้นทุนมาตรฐานดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะต่อไป

2.ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจที่เข้าข่ายต้องขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2554 รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีความชัดเจน เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

3.ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการจัดทำข้อตกลงการให้บริการสาธารณะและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้นเพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจและภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมเงินมาให้บริการสาธารณะ  ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว