ธรรมศาสตร์โชว์ 3 นวัตกรรม ยกระดับสินค้าทางการเกษตรไทย

07 ก.ย. 2561 | 05:44 น.
ธรรมศาสตร์โชว์ 3 นวัตกรรม ยกระดับสินค้าทางการเกษตรไทย พร้อมผนึกกำลังตลาดไท แลกเปลี่ยนงานวิจัยเพื่อการพัฒนาสู่ระดับสากล

[caption id="attachment_314061" align="aligncenter" width="335"] ศ.ดร.ทพญ.ศิริวรรณ สืบนุการณ์ ศ.ดร.ทพญ.ศิริวรรณ สืบนุการณ์[/caption]

ศ.ดร.ทพญ.ศิริวรรณ สืบนุการณ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยสามารถสร้างรายได้จำนวนมหาศาลจากการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมอันหมายถึงพืช ผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ทั้งในรูปแบบอาหารสดและผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยในช่วงเดือน 7 เดือนแรก ของปี 2561 ประเทศไทยสามารถสร้างรายได้จากส่งออกสินค้าเกษตรกรรมได้กว่า 4.2 แสนล้านบาท เพื่อรักษาการสร้างรายได้ ตลอดจนเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับประเทศจากสินค้าในกลุ่มนี้ มธ. จึงมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับผู้มีส่วนร่วมในวงจรการผลิตสินค้าทางการเกษตร อาทิ เกษตรกร ผู้ขายและผู้บริโภค อย่างต่อเนื่อง ดังเช่น 3 นวัตกรรม ดังต่อไปนี้

1.นวัตกรรมแถบสีบอกความสุกผลไม้ (Bio-ripeness indicator)และนวัตกรรมชะลอการสุกมะม่วง โดย รศ.ดร.วรภัทร ลัคนทินวงศ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ.นวัตกรรมลดอัตราการเสียหายของสินค้าการเกษตรเมื่อวางจำหน่าย จากการถูกบีบหรือกดในการเลือกซื้อ และยกระดับคุณภาพสินค้าทางการเกษตรสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค โดยนวัตกรรมดังกล่าว ประกอบด้วย สารละลายกระตุ้นการสร้างสารสีคลอโรฟิลล์ (chlorophyll supplement)ให้มีปริมาณที่มากขึ้น พร้อมชะลอการทำงานของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่สลายคลอโรฟิลล์ในมะม่วง สามารถชะลอการสุกได้สูงถึง 30 วัน โดยที่ไม่ทิ้งสารตกค้างถุงห่อแอคทีฟ (Active Bag)ทีมีช่องให้แสงผ่านพลาสติก เพื่อให้เกิดการสร้างคลอโรฟิลล์ได้มากที่สุด และแถบสีอินดิเคเตอร์ (Indicator)แถบสีแสดงการสุกของเนื้อมะม่วงใน 4 ระยะ คือ สีเขียว-เนื้อมะม่วงที่ยังดิบ สีเหลืองอ่อน-เนื้อมะม่วงที่เริ่มสุก สีเหลือง-เนื้อมะม่วงที่พร้อมรับประทาน และ สีเหลืองเข้ม-เนื้อมะม่วงที่สุกเกินมาตรฐาน

ภาพประกอบ_นวัตกรรม Bio Indicator (3) 2. แอปพลิเคชัน ออร์แกนิค (Organic Ledger)โดยผศ.ดร.ดุสิต อธินุวัฒน์ จากสาขาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ.แอปพลิเคชันบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ ชื่อเกษตรกร ชื่อฟาร์มและสถานที่ตั้ง ช่องทางการติดต่อ ขั้นตอนการเพาะปลูกของเกษตรกร รวมถึงวันและเวลาที่เก็บเกี่ยวอย่างชัดเจนพร้อมตรวจสอบลักษณะของผลผลิตดังกล่าวว่าเป็นไปตามมาตรฐานสากลของผลิตภัณฑ์อินทรีย์ตามฐานข้อมูลของมูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทยหรือไม่ นอกจากนี้ทางนักวิจัย มธ. ยังเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคอีกขั้น โดยการออกใบรับรองแบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้กับฟาร์มหรือผู้ผลิตที่มีผลิตสินค้าทางการเกษตรแบบไร้สารปนเปื้อน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงง่าย ๆ ได้เพียงการแสกนคิวอาร์ โค้ด (QR Code) ที่จะแปะอยู่กับสินค้า

ภาพประกอบ_นวัตกรรมฟิล์มทูฟลาย (2) 3.ฟิล์ม ทูฟลาย(Film to Fly)โดย ผศ.ดร.ดุสิต อธินุวัฒน์ จากสาขาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. ร่วมกับนางสาวพรรณวดี จันทร์ทอง นักศึกษา สาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ.นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อยกระดับการส่งออกสินค้าทางเกษตรโดยเป็นนวัตกรรมชะลอความสุกพืชผลเกษตรจากใบยี่หร่า ชะลอสุก “กล้วยหอม” นาน 2 เดือน ด้วยเทคนิคการเคลือบแบบบริโภคได้(Edible Coating) โดยไม่ทิ้งสารเคมีตกค้าง พร้อมรักษาสภาพผิวให้สวยงาม และป้องกันการเกิดโรคขั้วหวีเน่าในผลผลิตได้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ภายหลังการเก็บเกี่ยวและระหว่างการขนส่ง เพียงชุบในสาร 1 ครั้ง นอกจากนี้ยังสามารถใช้ชะลอสุกได้กับมะละกอ และมะม่วงน้ำดอกไม้อีกด้วย

[caption id="attachment_314063" align="aligncenter" width="335"] รศ.เกศินี วิฑูรชาติ รศ.เกศินี วิฑูรชาติ[/caption]

ด้าน รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวเสริมว่าแม้การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการเกษตร จะเป็นสิ่งที่ มธ. ทำมาโดยตลอด แต่เพื่อการส่งเสริมและยกระดับนักวิจัยของ มธ. จึงเป็นที่มาของการร่วมมือทางด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระหว่าง มธ. และบริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด หรือตลาดไทโดยมีเป้าประสงค์เพื่อ 1) สร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านผลผลิตและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 2) แลกเปลี่ยนข้อมูล บุคลากรและนักวิจัยของทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านผลผลิตและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและ 3) เชื่อมโยงเครือข่ายและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้านผลผลิตและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเพื่อผลักดันให้เกิดการนำผลวิจัยและนวัตกรรมไปใช้จริงซึ่งการร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเพิ่มพูนองค์ความรู้ของนักวิจัยทั้ง 2 ฝ่าย กล่าวคือ นักวิจัย มธ. จะมีโอกาสได้สัมผัสปัญหาและความต้องการของผู้ค้า ตลอดจนกระบวนการการจัดการที่เกิดขึ้นในพื้นที่จริงและนักวิจัยของตลาดไทนั้น สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ไปพัฒนาคุณภาพการดูแลพื้นที่และให้บริการของตลาดไท ทั้งนี้ การร่วมมือในครั้งนี้ยังคงมีเป้าหมายในการนำองค์ความรู้ที่ได้ไปต่อยอดเพื่อสร้างประโยชน์ต่อสังคมและประเทศในภายภาคหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยของ มธ. ที่มุ่งมั่นสร้างงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณภาพ เพื่อการพัฒนาประเทศชาติในทุกด้าน

ขณะที่นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการบริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด (ตลาดไท)กล่าวว่า “ตลาดไท” เรามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการเป็น “ตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรครบวงจร” ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางของอาเซียน โดยดำเนินธุรกิจค้าส่งเคียงคู่คนไทย และสนับสนุนเกษตรกรไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานถึง 21 ปี และเดินหน้าด้วยความมุ่งมั่นในการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสินค้าเกษตร ผู้ค้า และเกษตรกรร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสนับสนุนในเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าเกษตรที่มีความหลากหลายจากทั่วประเทศไทยและเกือบทุกมุมโลกผ่านตลาดไท ทั้งนี้มีสินค้าเกษตรเข้าสู่ตลาดไทถึง 12,000 ตันต่อวัน สนับสนุนเกษตรกรกว่า 200,000 คน และมีมูลค่าการค้าถึง 1.8 แสนล้านบาทต่อปี ตอกย้ำความแข็งแกร่งของตลาดไทในฐานะตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรครบวงจรใหญ่ที่สุดในอาเซียน

แนวทางดังกล่าวจึงสอดรับกับภารกิจของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการส่งเสริม สนับสนุนงานด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านผลผลิตและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเชื่อมโยงเครือข่าย การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องตลอดจนบุคลากรของทั้งสองฝ่าย เพื่อพัฒนาศักยภาพและพัฒนาธุรกิจในด้านต่าง ๆ อันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และตลาดไท สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับ มธ.ในครั้งนี้ เรามีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้เกิดโดยตรงทั้งแก่ผู้ประกอบการไทย เกษตรกรไทย และสังคมไทยได้อย่างแท้จริง อีกทั้งจะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่สามารถช่วยขับเคลื่อนงานด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านผลผลิตและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของ มธ. ให้สัมฤทธิ์ผลและเป็นจริงได้ต่อไป ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว