รัฐบาลอินโดนีเซียเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปในอัตราระหว่าง 7.5-10% และสินค้านำเข้าประเภทวัตถุดิบ ในอัตรา 2.5% เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายควบคุมการนำเข้า แก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 3% ของจีดีพี และมีส่วนทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียดำดิ่ง ทำสถิติใหม่อยู่ในเวลานี้
"จาการ์ตาโพสต์" สื่อท้องถิ่นของอินโดนีเซีย รายงานว่า นางศรี มุลยานี อินทราวาตี รัฐมนตรีคลัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 ก.ย. ที่ผ่านมา เกี่ยวกับกฎระเบียบใหม่ของกระทรวงการคลัง ที่จะปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจำนวน 1,147 รายการ ว่า
สินค้าเหล่านี้อยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Non-Essential Goods) หรือ มีสินค้าที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน ที่ผลิตได้เองภายในประเทศอินโดนีเซีย เป้าหมายของมาตรการนี้ก็เพื่อควบคุมการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค
กฎระเบียบใหม่นี้จะถูกนำมาใช้แทนกฎกระทรวงฉบับเก่า หมายเลข 34/2017 (Ministerial Regulation No.34/2017) ในช่วงสัปดาห์หน้า โดยจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าในกลุ่มของใช้ส่วนตัว (Personal Care Products) อาทิ แชมพู สบู่ และเครื่องสำอาง รวมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ อีก 215 รายการ เป็นอัตรา 10% จากอัตราเดิม 2.5%
ส่วนสินค้าที่จะถูกปรับภาษีนำเข้าเพิ่มจากอัตราเดิม 7.5% เป็น 10% มีจำนวน 210 รายการ ได้แก่ สินค้าหรูหรา อย่างเช่น รถยนต์ซูเปอร์คาร์ นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่จะถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นจากอัตราเดิม 2.5% เป็นอัตรา 7.5% อีกจำนวน 719 รายการ ได้แก่ ลำโพงเครื่องเสียงและชุดว่ายน้ำ เป็นต้น ทั้งนี้ มีสินค้านำเข้าจำนวน 57 รายการ ที่จะคงอัตราภาษีไว้ที่อัตราเดิม 2.5% เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเป็นสินค้าจำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ
นอกเหนือจากรูปแบบการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าแล้ว มาตรการควบคุมการนำเข้าที่รัฐบาลอินโดนีเซียจะนำมาใช้ ยังครอบคลุมไปถึงการขึ้นภาษีรายได้จากการนำเข้า หรือ Import Income Tax ด้วย
ทางด้านการขาดดุลการค้านั้น ในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา อินโดนีเซียขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นจาก 1,740 ล้านดอลลาร์ ในเดือน มิ.ย. เป็น 2,030 ล้านดอลลาร์ โดยมีการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่า 1,720 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 70.5% เมื่อเทียบกับเดินก่อนหน้า
รัฐมนตรีคลังอินโดนีเซีย ให้ความเห็นเมื่อต้นสัปดาห์เกี่ยวกับมาตรการพยุงค่าเงินรูเปีย ว่า มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลกำลังจะนำมาใช้นั้น จะมีการเผยแพร่ต่อสาธารณะเพื่อผู้ที่เกี่ยวข้องจะสามารถรับทราบและปรับตัว ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียตกดิ่ง ทำสถิติอ่อนที่สุดในรอบ 20 ปี โดยลงไปอยู่ที่ 15,000 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ในระดับกว่า 14,900 รูเปียต่อดอลลาร์ ในช่วงหลายสัปดาห์ ทำให้รัฐบาลและธนาคารกลางต้องเร่งนำมาตรการในเชิงควบคุมมาใช้ ซึ่งรวมถึงมาตรการสอดส่องดูแลการทำธุรกรรมด้านการปริวรรตเงินตรา เพื่อป้องกันการเก็งกำไร
นอกจากนี้ การที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งขึ้น ยังทำให้เกิดการเทขายสกุลเงินและสินทรัพย์ของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ รวมถึงอินโดนีเซีย ที่พันธบัตรรัฐบาลอยู่ในการถือครองของต่างชาติในสัดส่วนถึง 40% ทำให้สุ่มเสี่ยงจะได้รับผลกระทบหนัก หากเกิดภาวะเงินทุนไหลออกฉับพลัน
นับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2561 เป็นต้นมา แบงก์ชาติอินโดนีเซียปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อช่วยสกัดการไหลออกของทุนและพยุงค่าเงินรูเปียแล้วถึง 4 ครั้ง และยังมีการเข้าแทรกแซงตลาดโดยตรง แต่ก็ยังไม่สามารถสกัดการอ่อนตัวของค่าเงินรูเปียได้สำเร็จ
……………….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
●
'มาลี' ผนึกทุนอินโดฯ!! บุกตลาดเพอร์ซันนอลแคร์เมืองไทย
●
นายกฯ ห่วงใยพื้นที่น้ำท่วม กำชับการช่วยเหลือเร่งด่วน พร้อมสั่งดูแลคนไทยในอินโดฯ หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว