สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในโลกออนไลน์และสังคมทั่วไป กับกรณีที่มีกระแสข่าวว่า “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” จะเสนอออกกฎเข้ม ปรับหนัก 5 หมื่นบาท หากตรวจพบว่าคุณผู้ใช้รถขับขี่รถยนต์-รถจักรยานยนต์โดยไม่พกใบขับขี่
สุดท้ายผู้หยุดกระแสนี้ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่โอเคด้วย
“เรื่องนี้เป็นความคิดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลต้องมาศึกษารายละเอียดดูว่าเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ต้องไปหาประเด็นอื่นๆ มาด้วย อย่ามองกันแค่ว่าเป็นการเพิ่มความรับผิดชอบให้กับคนที่จะต้องพกใบขับขี่หรือไม่ก็ต้องต่อทะเบียนรถ วัตถุประสงค์มีหลายอย่างด้วยกัน แต่ไม่ใช่หลายอย่างที่ในโซเชียลฯเอามาโพสต์กัน อย่าสร้างความเข้าใจผิดๆ แบบนี้ให้ประชาชน เพราะไม่เช่นนั้นในวันข้างหน้าการแก้ปัญหาจะไปไม่ได้ ทุกอย่างต้องอาศัยกฎหมาย ความเหมาะสม ควรจะเป็นอย่างไร สำหรับผมยังไม่เห็นด้วยในประเด็นนี้ ก็ต้องหารือกันต่อไป ต้องมองกันในหลายๆ มุม อย่าไปขัดแย้งอะไรกัน ดังนั้นขอให้เข้าใจว่าวันนี้ผมยังไม่อนุมัติอะไรทั้งสิ้น”
ก็เป็นอันตกไปสำหรับไอเดียนี้ หยุดกระแสดราม่าทุกอย่างในบัดดล
แต่กระนั้น “ฐานเศรษฐกิจ” ก็ไปตรวจสอบข้อมูล กับประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับไอเดียของ “กรมการขนส่งทางบก” เกี่ยวกับใบขับขี่เช่นกัน ซึ่งผ่านความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมากับการอนุมัติ “ร่างกฎกระทรวงฯ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ (ใบขับขี่) และการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่อใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. ...”
กรมการขนส่งทางบก ได้รายงานครม.ว่า กรมการขนส่งทางบกได้นำร่างกฎกระทรวงลงเผยแพร่ในเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบกให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นระหว่างวันที่ 19-25 ธันวาคม 2560 ซึ่งมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็น 1 ราย ที่เห็นด้วยกับร่างกฎกระทรวงใหม่ แทนกฎกระทรวง พ.ศ. 2548
ขี่บิ๊กไบค์ต้องผ่านอบรม
ซึ่งในมติครม. วันนั้นมี 2 เรื่องใหม่ ที่ซ่อนอยู่ เรื่องแรก กฎกระทรวงใหม่ ระบุว่าเป็นการเปลี่ยนวิธีการออกใบขับขี่สำหรับผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ หรือ “บิ๊กไบค์” ว่า “ต้องมีการผ่านการอบรมก่อน”
โดยกรมการขนส่งทางบก ให้เหตุผลว่า กฎหมายเดิมยังมีความไม่เหมาะสม เพราะปัจจุบันมีผู้นิยมใช้รถจักรยานยนต์ที่มีกำลังสูง หรือ บิ๊กไบค์ ที่มี สมรรถนะด้านความเร็วสูง การควบคุมรถกระทำได้ยากกว่ารถจักรยานยนต์ทั่วไป หากผู้ขับขี่ไม่ได้รับการอบรมในการขับขี่ที่ถูกต้อง ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุนำไปสู่การบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินทั้งแต่ตนเองและผู้อื่น
คุมเข้มใบรับรองแพทย์
ส่วนเรื่องที่ 2 ในมติครม. ที่ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก คือการเพิ่มเงื่อนไขในการออกใบรับรองแพทย์เพื่อนำมาขอออกและต่อใบขับขี่ โดยกรมการขนส่งทางบกให้เหตุผลว่า เนื่องจากการตรวจสุขภาพเพื่อออกใบรับรองแพทย์สำหรับใช้เป็นหลักฐานประกอบการขอรับใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ “แบบเดิม” เป็นการตรวจเบื้องต้นว่าบุคคลนั้นไม่ เป็นบุคคลทุพพลภาพไร้ความสามารถ จิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ
และไม่เป็นโรค 5 โรค ได้แก่ โรคเรื้อนในระยะติดต่อหรือระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่น่ารังเกียจแก่สังคม วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่น่ารังเกียจแก่สังคม ติดยาเสพติดให้โทษและโรคพิษสุราเรื้อรังเท่านั้น
“ใบรับรองแพทย์แบบเดิมจึงไม่สามารถคัดกรองบุคคลในการขับขี่รถ อันส่งผลให้ไม่สามารถช่วยลดอุบัติเหตุหรือสร้างความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่และผู้ใช้รถบนถนนได้ อีกทั้งโรคที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดอุบัติเหตุไม่ได้ถูกนำมาอยู่ในรายการตรวจสุขภาพ และยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่า ผู้มายื่นขอรับใบอนุญาตขับรถหรือต่ออายุใบอนุญาตบางรายมีสภาพจิตใจหรือบุคลิกภาพที่ไม่ถึงขั้นวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน แต่มีความปกติทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสมจะอนุญาตให้เป็นผู้ขับรถได้”
โดยแนวทางการดำเนินการของกรมการขนส่งทางบกได้ประสานขอความร่วมมือจากแพทยสภาในการกำหนดโรคหรือสภาวะของโรคที่ต้องห้ามขอรับใบขับขี่ และจะวางแนวฅทางตรวจรับรองของแพทย์กับแพทยสภาต่อไป
จับตาลดอุบัติเหตุ?
กล่าวสรุปง่ายๆ คือ ในกฎกระทรวงใหม่จะ “กำหนดใบรับรองแพทย์แบบใหม่” ที่จะนำมาใช้ประกอบการขอรับหรือขอต่อใบขับขี่ทั้งใบขับขี่ส่วนบุคคล และสาธารณะ ต้องแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นไม่มีโรคประจำตัวหรือสภาวะของโรคที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่าอาจจะเป็นอันตรายขณะขับรถตามที่แพทยสภากำหนด และไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนและมีอายุใช้ได้ตามที่แพทย์ผู้รับรองกำหนด เว้นแต่ในกรณีที่ใบรับรองแพทย์ไม่ได้กำหนดอายุไว้ให้ใช้ได้ไม่เกินหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ออกใบรับรองแพทย์
และแม้ว่าจะมีใบรับรองแพทย์มายื่นแล้วก็ตาม ในกฎกระทรวงใหม่ยังมีการตรวจสอบอีกชั้นว่า
“ในการออกใบขับขี่และการต่อใบขับขี่ ให้นายทะเบียนพิจารณาสภาพร่างกายและความเหมาะสมในการขับรถของผู้ขอด้วย หากเห็นว่าผู้ขออาจจะไม่สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัย ให้นายทะเบียนงดออกใบอนุญาตขับรถไว้ก่อนและสั่งให้ผู้ขอ-ผู้ต่อใบขับขี่เข้ารับการทดสอบการขับรถอีกครั้งหนึ่ง หรือสั่งให้นำใบรับรองแพทย์มายืนยันเพื่อแสดงว่าเป็นผู้มีความเหมาะสมที่จะขับรถได้โดยปลอดภัย”
ซึ่งการเปลี่ยนโฉมใบรับรองแพทย์ เพื่อขอออกใบขับขี่ นี้มาจากหลายกรณี แต่ที่เป็น ข่าวดังที่สุด คือกรณีที่ นายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ หรือ หมูแฮม ซึ่งป่วยเป็นโรคลมชัก อารมณ์แปรปรวนขับรถชนคนเสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีกหลายรายเมื่อปี 2550
หรือล่าสุดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา วันเดียวกับที่กรมการขนส่งทางบกเสนอกฎหมายเข้า ครม. ที่ผู้หญิงวัย 69 ปี อาการโรคสมองกำเริบ จนขับรถพุ่งชนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและรถยนต์เสียหาย 4 คัน ที่สนามบินเชียงใหม่ ก็ต้องติดตามกันว่า กติกาใหม่ทั้งอบรมบิ๊กไบค์และใบรับรอง แพทย์โฉมใหม่ จะช่วยลดอุบัติเหตุจากท้องถนนได้ขนาดไหน
|เซกชั่น : การเมือง
| โดย : โต๊ะข่าวการเมือง
|หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ หน้า 14 ฉบับ 3398 ระหว่างวันที่ 6-8 ก.ย 2561