“ประทีป” แจ้งมีผู้แสดงเจตนาขายหุ้น MK แค่ 0.30% หลังทำเทนเดอร์ที่ราคา 4.10 บาท บล.เมย์แบงก์ชี้ราคาต่ำกว่าบนกระดาน เป็นเรื่องปกติที่ไม่ถึงเป้า ย้ำไม่ขยายเวลารับซื้ออีก เชื่อ SPALI อยากลงทุนเพื่อให้ธุรกิจได้ผลตอบแทนดีขึ้น
ขณะที่ ราคาปรับเพิ่มขึ้นมากสุดอยู่ที่ 0.12 บาท หรือ 2.70% เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 ปรับลดลงมากที่สุดที่ 0.24 บาท หรือ -5.50% เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา บมจ.ศุภาลัย (SPALI) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ได้ให้บริษัท ศุภาลัย พรอพเพอร์ตี้ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer) หุ้น MK จำนวน 992,010,177 หุ้น ในราคาหุ้นละ 4.10 บาท คิดเป็นมูลค่า 4,067.24 ล้านบาท
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะตัวแทนรับซื้อหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า กรณีที่หุ้น MK ทำเทนเดอร์ได้ไม่ถึงเป้าหมายนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะราคาหุ้นซื้อขายบนกระดานสูงกว่าราคาเสนอซื้อที่ 4.10 บาท จึงทำให้นักลงทุนเข้าไปเล่นบนกระดานแทน โดยหลังจากนี้จะไม่มีการขยายเวลาทำเทนเดอร์หุ้น MK อีกรอบ อย่างไรก็ตาม มองว่า SPALI ต้องการเข้าไปซื้อหุ้น MK เพื่อเป็นการลงทุนในบริษัทที่มีมูลค่าดี รวมถึงเพื่อดำเนินธุรกิจให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากที่สุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ MK อยู่ในกลุ่มผู้ถือหุ้นครอบครัวเดียวกันกับ SPALI โดยมีจุดเด่นในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในแนวราบเป็นหลัก ซึ่งหลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ภายใน จากการเปิดให้กลุ่มภายนอกเข้ามาซื้อหุ้น ขณะที่ ในส่วนของ SPALI หลังจากฐานรายได้และกำไรเริ่มดีขึ้น จึงอยากกลับเข้ามาซื้อ MK เพราะตระกูลตั้งมติธรรมเคยถือหุ้นใหญ่มาก่อน จึงมองว่าการเข้ามาทำเทนเดอร์ครั้งนี้ ไม่ได้เข้ามาเพื่อเสริมฐานรายได้และกำไร เนื่องจาก SPALI มีฐานที่แข็งแกร่งและดีกว่า MK ค่อนข้างมาก
บทวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ประเมินกำไรสุทธิ SPALI ปีนี้อยู่ที่ 5,800 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยกำไรสุทธิครึ่งปีแรกคิดเป็นสัดส่วน 36% จากที่คาดทั้งปี ทั้งนี้ กำไรสุทธิครึ่งปีหลังจะดีขึ้นมาก เนื่องจากมีคอนโดใหม่เริ่มโอนเพิ่มขึ้นเป็น 5 โครงการ จากครึ่งปีแรกที่มีเพียง 2 โครงการ อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิครึ่งปีหลังจะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานกำไรที่ค่อนข้างสูงในปีก่อน และยังมีกำไรพิเศษจากการขายสำนักงานในต่างประเทศประมาณ 320 ล้านบาท แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 26 บาท