มธ. ผนึก 4 ภาคี ส่งเสริมเด็กกำหนดทิศทางสังคม

03 ก.ย. 2561 | 06:00 น.
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผนึก 4 องค์กรภาคี จัดโครงการ "พัฒนารูปแบบตำบลส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสภาเด็กและเยาวชน" ส่งเสริมเด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมกับผู้ใหญ่ กำหนดทิศทางของสังคม ภายใต้แนวคิด "เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน" พร้อมเปิด 3 จุดอ่อนเยาวชนไทย ที่ผู้ใหญ่แก้ผิดจุด




ภาพกิจกรรม 6

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชานนท์ โกมลมาลย์ ผู้อำนวยการ โครงการพัฒนารูปแบบตำบลส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสภาเด็กและเยาวชน และอาจารย์ประจำภาควิชาสังคมสงเคราะห์ คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า การพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนที่ผ่านมา กลไกการพัฒนาถูกกำหนดและดำเนินการโดยผู้ใหญ่ ตั้งแต่กระบวนการคิด การลงมือทำ การแก้ปัญหา ซึ่งล้วนแต่เป็นมุมมองการพัฒนาที่เกิดขึ้นแค่ด้านเดียว ทำให้เกิดช่องว่างทางสังคม ระหว่างเด็กเยาวชนและผู้ใหญ่ ทำให้เกิดจุดอ่อนในเด็กไทย 3 ประเด็นหลัก คือ

1.ขาดการพัฒนาทักษะการใช้ที่ชีวิตที่ทันต่อสถานการณ์
2.ขาดการส่งเสริมระบบการศึกษาที่เหมาะสม
3.ขาดโอกาสจากความเหลื่อมล้ำทางสังคม

องค์กรภาคีหลัก 4 หน่วยงาน ได้แก่ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำนักสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันผลักดัน "โครงการพัฒนารูปแบบตำบลส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสภาเด็กและเยาวชน" เพื่อสร้างนวัตกรรมทางสังคมในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ผ่านการเปลี่ยนมุมมองการพัฒนา โดยเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแสดงออกและสามารถกำหนดทิศของเยาวชนในท้องถิ่น นำไปสู่ทางออกที่เหมาะสม แก้ปัญหาได้ตรงจุด


ภาพกิจกรรม 3

กระบวนการตาม "โครงการพัฒนารูปแบบตำบลส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสภาเด็กและเยาวชน" เริ่มต้นจากการพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยเบื้องต้นแก่เยาวชน จากนั้นจะร่วมกันวิจัย เพื่อค้นหารูปแบบส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนระดับตำบล เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางของสังคมที่เด็กและเยาวชนเป็นผู้เลือก กำหนดเป้าหมาย ตามความถนัด ตามความสนใจ ผสมผสานการสนับสนุนจาก "เบญจภาคี" ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเศรษฐกิจ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคเด็กเยาวชน รวมทั้งมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ "SIY" กว่า 50 แห่งทั่วประเทศ และยังมีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กับสภาเด็กและเยาวชน ครั้งที่ 1 ไปแล้ว เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา หลังจากนี้ ยังมีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องและยังมีการขับเคลื่อนงานจริงในระดับพื้นที่ในทุกแห่งที่สนใจ เข้าร่วมโครงการตลอดจนถึงเดือน ก.ย. 2562 รวมระยะเวลาการดำเนินโครงการทั้งสิ้น 18 เดือน


ภาพกิจกรรม2

ด้าน น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็กเยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีกลไกในการพัฒนาเด็กและเยาวชนผิดทาง คือ มุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น สิ่งเสพติด เด็กติดเกม คุณแม่วัยใส ความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น จนละเลยเรื่องการป้องกัน ซึ่งถือเป็นภูมิคุ้มกันด่านแรกที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา และเป็นเรื่องที่ทำให้ไทยเสียโอกาส ดังนั้น การพัฒนาศักยภาพและทักษะของเด็กและเยาวชนให้มีภูมิคุ้มกันทางความคิด มีทักษะในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้อีก และต้องเริ่มลงมือเลยตั้งแต่วันนี้

"การพัฒนาให้เกิดการป้องกันที่มีประสิทธิภาพได้ ต้องเป็นการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนในระยะยาว เนื่องจากองค์ความรู้ หรือทักษะที่จะนำไปสู่การสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ ต้องใช้ระยะเวลาในการกระตุ้นให้ เกิดการรับรู้จนนำไปสู่การปฏิบัติได้ ที่สำคัญต้องเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาให้มากกว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอย่างน้อยให้ได้สัดส่วน 70 ต่อ 30 เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งโครงการดังกล่าว ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนในระดับท้องถิ่นอย่างตรงจุด" น.ส.ณัฐยา กล่าว


23626556