‘ธนจิรารีเทล’รุกตลาดเพชร ปั้นแบรนด์ TILDA เสริมพอร์ต ยํ้าภาพลักชัวรีไลฟ์สไตล์

14 ก.พ. 2559 | 10:00 น.
ธนจิรา รีเทล ย้ำภาพลักชัวรี่ไลฟ์ไสตล์รีเทล ปั้นแบรนด์เครื่องเพชร "TILDA" เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ พร้อมเดินหน้าดัน"แพนดอร่า-มารีเมกโกะ-โจนาธาน แอดเลอร์" รุกตลาดเต็มสูบ หลังวางโครงสร้างบริษัทสมบูรณ์ ล่าสุดยื่นขอเป็นดีลเลอร์แพนดอร่าในเขมร ลาว เมียนมาร์ มั่นใจโกยยอดขายทะลุหลักพันล้านในอีก 2 ปี ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีก 5 ปีข้างหน้า

นายธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์แฟชั่นแบรนด์เครื่องประดับ "แพนดอร่า", เสื้อผ้าแฟชั่น "มารีเมกโกะ" และเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน "โจนาธานแอดเลอร์" เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทเน้นนำเสนอสินค้าที่เอื้อต่อกันโดยเป็นสินค้าที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน มีไลฟ์สไตล์ที่ตรงกัน ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี

[caption id="attachment_31243" align="aligncenter" width="500"] Pandora Pandora[/caption]

ทั้งนี้บริษัทมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อ TILDA เครื่องประดับจากจิวเวลรี่เพชรแท้ โดยเบื้องต้นจะวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในรูปแบบของช้อป อิน ช้อป พร้อมขยายจุดจำหน่ายให้ได้ 30 จุดทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงวัยทำงานอายุ 28 ปีขึ้นไป โดยมีระดับราคาตั้งแต่ 2 หมื่น – 4 แสนบาท อาทิ แหวน กำไล ต่างหู สร้อยคอ จี้ เป็นต้น โดยปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์แฟชั่นแบรนด์เครื่องประดับ "แพนดอร่า", เสื้อผ้าแฟชั่น "มารีเมกโกะ" และเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน "โจนาธานแอดเลอร์"

ล่าสุดบริษัทยังเสนอตัวขอเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์แพนดอร่าในกลุ่มประเทศอินโดไชน่า ได้แก่ กัมพูชา , ลาว และเมียนมาร์ (ยกเว้นเวียดนาม) หลังจากที่ศึกษาตลาดพบว่าในกลุ่มประเทศดังกล่าวมีพฤติกรรมคล้ายคนไทย และชื่นชอบเครื่องประดับประเภทนี้ โดยคาดว่าจะสามารถสรุปได้ในปีหน้า

สำหรับแผนการทำตลาดในปีนี้ บริษัทเตรียมใช้งบกว่า 40 ล้านบาทสำหรับการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับปรุงสาขาเดิม ส่วนลยุทธ์การทำตลาด เป็นการตั้งราคาที่เหมาะสมและใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ต่างกันบวกลบไม่เกิน 5-10% โดยในช่วงที่ผ่านมาพบว่าราคาสินค้าในไทยจะต่ำกว่าฮ่องกง สิงคโปร์ 10-20% จากอัตราค่าเงินบาทที่อ่อนลง ทำให้ลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาซื้อสินค้ามากขึ้น

ด้านผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ ตั้งเป้าที่จะมียอดขาย 600 ล้านบาทเติบโต 40% จากปีก่อนที่มีรายได้ 420 ล้านบาท เติบโตจากปี 2557 ราว 57% โดยรายได้หลักมาจากแพนดอร่า 88% ส่วนที่เหลือเป็นแบรนด์อื่น ขณะที่มารีเมกโกะ เป็นแบรนด์ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตกว่า 50% ส่งผลให้มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 11% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4% และบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้รวม 1 พันล้านบาทในปี 2561 ก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอีก 5 ปีข้างหน้านับจากนี้

"จุดแข็งของบริษัทคือ เป็นที่น่าเชื่อถือจากพันธมิตร จากประสบการณ์ที่อยู่ในธุรกิจรีเทลมายาวนาน มียอดขาย ผลประกอบการเติบโตทุกปี ขณะเดียวกันบริษัทมีความตั้งใจในการสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการเติบโตแบบยั่งยืน ไม่ใช่เน้นการขยายสาขาเป็นหลัก นอกจากนี้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทจะต้องได้รับผลประโยชน์ร่วมกันแบบ win-win ด้วย"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,131 วันที่ 14 - 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559