นายกฯชี้วางรากฐาน”เกษตรกรรม”สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้มแข็ง

01 ก.ย. 2561 | 09:08 น.
นายกฯชี้วางรากฐาน”เกษตรกรรม”สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้มแข็ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า”การสร้างอนาคตประเทศไทย จะสำเร็จสมบูรณ์ไม่ได้เลย ถ้าวันนี้เราไม่มีรากฐานที่แข็งแรงของภาคการเกษตร ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ เนื่องจากพี่น้องส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคการเกษตร

หากมองย้อนกลับไปจนถึงปัจจุบันนี้ ทุกอย่างค่อยๆ ปรับเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น อาจจะค่อนข้างช้า เพราะเป็นคนส่วนใหญ่นะครับ เราก็ได้รับความเชื่อมั่นจากต่างชาติมากขึ้น มี Start up ภาคการเกษตร มี Young Smart Farmer เกิดขึ้นมากมาย พวกเขาเปรียบเสมือนเป็นอนาคตที่สำคัญในภาคการเกษตร สินค้าการเกษตรหลายประเภทส่งออกมากขึ้น และประเทศกำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

รัฐบาลมุ่งเสริมสร้างให้เกิดรากฐานที่ดี เพื่อจะเดินไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เราจะสร้างชาติผ่านภาคการเกษตรที่สำคัญไปด้วยกัน เราทิ้งเขาไว้ไม่ได้นะครับ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นคง เข้มแข็ง ยั่งยืน ภาคการเกษตรเปรียบเสมือนรากฐานที่สำคัญของประเทศ ถ้ารากต้นไม้แข็งแรง ต้นไม้จึงจะเติบโตแผ่กิ่งก้านใบออกดอกติดผลได้

tusart

แต่ภาคการเกษตรของเราเข้มแข็งไม่ได้ ไม่มีกระบวนการสร้างและพัฒนาเกษตรกรให้พึ่งพาตนเอง วันนี้การส่งเสริมการเกษตรของไทยยังคงต้องเน้นผ่านกระบวนการกลุ่ม หรือการสร้างความเข้มแข็งผ่านองค์กรเกษตรกร  ปัจจุบันเรามีกลุ่มเกษตรกรที่เข้มแข็ง ได้แก่ Smart Farmer มากกว่า1 ล้านราย มีเกษตรกรรุ่นใหม่ Young Smart Farmer ที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพแล้วเกือบ 8,000 ราย มีอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) ที่คอยสนับสนุนงานทั่วประเทศ กว่า 75,000 ราย กลุ่มแม่บ้านเกษตร ประมาณ 20,000 กลุ่ม สมาชิกราว 480,000 ราย

สมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรทั้งประเทศมากกว่า 160,000 ราย นอกจากนี้ยังมีศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในสินค้าเกษตร (ศพก.) นะครับ ที่มีเกษตรกรต้นแบบ 882 ราย สมาชิกแปลงใหญ่ เกือบ3,900 กลุ่ม ทั้งหมดเป็นผลมามาการพัฒนางานพัฒนางานการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลามากพอสมควรนะครับ เพื่อให้พี่น้องชาวเกษตรกรของเรานั้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สำหรับนโยบายเรื่อง “ข้าว” ที่ถือว่าเป็นพืชอาหารหลักของประชาชนในประเทศ และเกี่ยวข้องกับเกษตรกรกลุ่มใหญ่ของประเทศ เราก็ได้มีแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้ทำการเกษตรแบบรวมกลุ่มที่เรียกว่า “ระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ นาแปลงใหญ่ นะครับ ได้มีการบริหารจัดการแปลงอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การผลิตมีศักยภาพสูงสุด ได้ผลผลิตสูง คุณภาพดี มีต้นทุนการผลิตลดลง

อีกทั้งมีการเชื่อมโยงตลาดเข้ากับการผลิต เพื่อสร้างเสถียรภาพและความเชื่อมั่นในเรื่องราคา ที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย เกษตรกรมากกว่าร้อยละ 80 มีความพึงพอใจในการรวมกลุ่มทำนา เนื่องจากทำให้กลุ่มมีความเข้มแข็งขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตลาด ทั้งของวิสาหกิจชุมชนด้านข้าวและสหกรณ์การเกษตร ก็ได้รับรายงานว่า เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 1,325 บาทต่อไร่ โดยปีแรกที่เริ่มทำเพิ่มขึ้น 115 บาทต่อไร่ ปีที่ 2 เพิ่มขึ้น 1,211 บาทต่อไร่ เป็นผลมาจากผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้นร้อยละ17.5 ขณะที่ต้นทุนการผลิตลดลงร้อยละ 19

090861-1927-9-335x503

ขณะนี้มีชาวนาที่ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการ “นาแปลงใหญ่” จำนวนกว่า1,900 แปลง รวมเกษตรกรกว่า 170,000 ราย ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2.4 ล้านไร่ใน 71 จังหวัดนะครับ ก็คงยังไม่เพียงพอ ต้องทำให้มากขึ้นเรื่อยๆ ในจำนวนนี้เป็นการดำเนินงานใน “ศูนย์ข้าวชุมชน” จำนวน 368 แปลง

ซึ่งในปีงบประมาณ 2562 มีแผนที่จะขยายพื้นที่เพื่อให้เป็นผลดีต่อชาวนาเพิ่มขึ้นให้ความสำคัญกับศูนย์ข้าวชุมชนเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็น “องค์กรชาวนา” ที่มีความเข้มแข็ง มั่นคง และเป็น “ศูนย์กลางในการพัฒนาข้าวและชาวนา” ในแต่ละท้องถิ่น ซึ่ง “ศูนย์ข้าวชุมชน” ดังกล่าวนั้นจะเป็นองค์กรเราต้องให้ความสำคัญ ในการพัฒนาให้เป็นกำลังสำคัญของประเทศ

ปัจจุบันมีศูนย์ข้าวชุมชนที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการข้าวแล้ว ประมาณ 1,800 ศูนย์ และเป้าไว้ที่ 7,000 ศูนย์ นะครับ ในปี 2564 อีก 3 ปีข้างหน้า เร่งให้เร็วขึ้นได้ไหมครับ ในเรื่องของการขึ้นบัญชี ขึ้นทะเบียนนี่ สำหรับการส่งเสริมและถ่ายทอดการพัฒนาและผลิตข้าว “แบบแปลงใหญ่” ต้องการให้กระจายสู่ชาวนาทุกพื้นที่ และเชื่อมโยงสู่ตลาด ตั้งแต่ต้นทาง-กลางทาง-ปลายทาง

รวมทั้ง การขับเคลื่อนการผลิตข้าวพันธุ์ดีไว้บริการชาวนาในแต่ละท้องถิ่น ก็ทราบว่าสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีรวมกันได้ปีละไม่น้อยกว่า 100,000 ตัน นะครับ ก็ยังไม่เพียงพอ แต่ก็นับว่าเป็นองค์กรหลักของชาวนาที่มีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งชาวนาทั่วไป และอื่นๆ อีกด้วย”

e-book-1-503x62-7