เล็งเพิ่มเฟส2 แจก5หมื่นเฮดจิ้งบาท
ธสน.ชี้บาทยังแกว่ง แนะจับตาใกล้ชิด แม้ไทยแข็งแกร่ง แต่มีปัจจัยลบจากภายนอก ขณะที่ผู้ส่งออกยังป้องกันเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนน้อยเล็งขยายออพชัน ช่วยชาติ เฟส 2 เพิ่มวงเงินแจกคูปองเป็น 5 หมื่นบาท
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มการแกว่งตัวของค่าเงินยังเป็นประเด็นต้องจับตาและติดตามสถานการณ์ตลาดเงินอย่างใกล้ชิด แม้ว่าไทยยังมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและแข็งแกร่ง แต่ปัจจัยภายนอก อาจมีผลต่อการแกว่งตัวของค่าเงิน ขณะที่ผู้ประกอบการคนไทยยังไม่ตื่นตัวในการป้องกันความเสี่ยงนัก
ที่สำคัญธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถดูแลค่าเงินได้ดีในช่วงที่ผ่านมา โดยเห็นได้จากปีก่อนเงินบาทแข็งค่าถึง 7% แต่หลังการออกโครงการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมเอสเอ็มอี ด้วยการนำคูปองไปใช้สิทธิ์ในการซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศป้องกันความเสี่ยงได้ในวงเงิน 3 หมื่นบาทต่อราย หลังจากเข้าอบรมจากทางการ ทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวกลับทิศ โดยปีนี้เงินบาทอ่อนค่าราว 2% จึงเอื้อต่อผู้ส่งออก ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.5-33.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งทั้งปีธสน.ประเมินไว้ที่ระดับ 33.6บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะขยายโครงการเป็นเฟส 2 เพิ่มวงเงินคูปองเป็น 5 หมื่นบาทต่อราย และพยายามจะสร้างความตระหนักรู้ โดยเพิ่มองค์ความรู้สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็กมากขึ้น คาดว่าจะสรุปรายละเอียดและเริ่มได้ในเดือนกันยายนนี้ ส่วนเฟสแรกซึ่งสิ้นสุดโครงการเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาผลตอบรับเกือบ 60% โดยมีการใช้วงเงินเกือบ 3,000 ราย จากที่ตั้งเป้าไว้ 5,000 รายโดยพบว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้าอบรมในโครงการมีจำนวนมากแต่ปริมาณการใช้คูปองยังน้อย ส่วนหนึ่งเพราะค่าเงินบาทแกว่งตัวน้อย
หน้า 23-24 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,396 วันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายน พ.ศ. 2561
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มการแกว่งตัวของค่าเงินยังเป็นประเด็นต้องจับตาและติดตามสถานการณ์ตลาดเงินอย่างใกล้ชิด แม้ว่าไทยยังมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและแข็งแกร่ง แต่ปัจจัยภายนอก อาจมีผลต่อการแกว่งตัวของค่าเงิน ขณะที่ผู้ประกอบการคนไทยยังไม่ตื่นตัวในการป้องกันความเสี่ยงนัก
ที่สำคัญธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถดูแลค่าเงินได้ดีในช่วงที่ผ่านมา โดยเห็นได้จากปีก่อนเงินบาทแข็งค่าถึง 7% แต่หลังการออกโครงการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมเอสเอ็มอี ด้วยการนำคูปองไปใช้สิทธิ์ในการซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศป้องกันความเสี่ยงได้ในวงเงิน 3 หมื่นบาทต่อราย หลังจากเข้าอบรมจากทางการ ทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวกลับทิศ โดยปีนี้เงินบาทอ่อนค่าราว 2% จึงเอื้อต่อผู้ส่งออก ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.5-33.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งทั้งปีธสน.ประเมินไว้ที่ระดับ 33.6บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะขยายโครงการเป็นเฟส 2 เพิ่มวงเงินคูปองเป็น 5 หมื่นบาทต่อราย และพยายามจะสร้างความตระหนักรู้ โดยเพิ่มองค์ความรู้สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็กมากขึ้น คาดว่าจะสรุปรายละเอียดและเริ่มได้ในเดือนกันยายนนี้ ส่วนเฟสแรกซึ่งสิ้นสุดโครงการเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาผลตอบรับเกือบ 60% โดยมีการใช้วงเงินเกือบ 3,000 ราย จากที่ตั้งเป้าไว้ 5,000 รายโดยพบว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้าอบรมในโครงการมีจำนวนมากแต่ปริมาณการใช้คูปองยังน้อย ส่วนหนึ่งเพราะค่าเงินบาทแกว่งตัวน้อย
หน้า 23-24 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,396 วันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายน พ.ศ. 2561
