‘ก้องเกียรติ’ เบรกASP ลดออกวอร์แรนต์อนุพันธ์

30 ส.ค. 2561 | 09:41 น.
“ก้องเกียรติ” ลั่นเดินนโยบายบริษัทในครึ่งหลัง “คุมความเสี่ยง” จำกัดการออกตราสารอนุพันธ์ DW  โฟกัสธุรกิจมีอนาคต ที่ปรึกษาทางการเงิน-บริหารจัดการกองทุน และการซื้อขายหุ้นตปท.ให้นักลงทุนไทย หลังรายได้ไตรมาส 2 ตํ่ากว่าเกณฑ์

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP  กล่าวถึงทิศทางบริษัทในครึ่งหลังว่ายังคงเป้าเติบโต 15% ที่ตั้งไว้ต้นปี แต่นโยบายจะปรับเปลี่ยนคุมความเสี่ยงมากขึ้น โดยจะจำกัดการออก Derivative Warrants :DW   หรือใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และหุ้นบางตัวที่มีความเสี่ยง ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ขาดทุน

[caption id="attachment_309873" align="aligncenter" width="289"] ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ก้องเกียรติ โอภาสวงการ[/caption]

 

ขณะเดียวกันสถานการณ์ที่ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แข่งขันรุนแรง และเป็นครั้งแรกที่ปัจจุบันรายได้ค่าธรรมเนียม (คอมมิสชัน) ของอุตสาหกรรมปรับลงมาตํ่ากว่า 0.10% แต่บริษัทยังคงตรึงสูงกว่าตลาด 0.05% และหันมาเน้นเทรดผ่านมือถือมากขึ้นซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าเทรด 50%

“สิ้นปี 2560 ค่าคอมมิสชัน ทั้งอุตสาหกรรมอยู่ที่ 0.115% มาไตรมาส 2/2561 ลดลงมาอยู่ที่ 0.095% ลดลง 0.02% ขณะที่ ASP  สิ้นปี 2560 คิดอยู่ที่ 0.163%  และไตรมาส 2/2561 สูงกว่าตลาดอยู่ที่ 0.149% ทั้งนี้โครงสร้างรายได้บริษัทมาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 50% ของรายได้รวม ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 583 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1%”

090861-1927-9-335x503-3

ทิศทางครึ่งปีหลัง ASP จะโฟกัสธุรกิจที่มีอนาคตและเป็นจุดแข็งของบริษัท ได้แก่ 1. ธุรกิจด้านลงทุน อาทิ ลงทุนใน Private Equity ในธุรกิจสตาร์ตอัพที่กระจายลงทุนทั้งในจีน และอเมริกา 2. Wealth Management  ที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล  3. ธุรกิจบริหารจัดการกองทุน  โดยมีโปรดักต์เด่นๆ ทั้งกองทุนลงใน AI, กองทุนในเวียดนาม และ 4. การซื้อขายหุ้นต่างประเทศของนักลงทุนไทย ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจหรือไอบีปีนี้บริษัทมีงานในมือ 56 ดีล แบ่งเป็นดีล IPO จำนวน 27 ดีลส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลาง-เล็ก และงานที่ปรึกษาทางการเงินอีก 29 ดีล

“เรายังมีเวลาเหลือที่จะโต 15% และช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ASP ก็สามารถจ่ายปันผลในอัตรา 7-11% อยู่แล้วโดยไม่มีปีไหนขาดทุน”

บริษัทมีรายได้ครึ่งปีแรก 1,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,218 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท ลดลง 5.82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 361 ล้านบาท จำนวนนี้มาจากธุรกิจลงทุน (Investment)ไตรมาส 2/2561 อยู่ที่  24 ล้านบาท ลดลง  81%  จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 126 ล้านบาท

นายก้องเกียรติ คาดดัชนีหุ้นไทยช่วงที่เหลือ มีอัพไซด์ไม่น่าเกิน 5% เนื่องจากตลาดหุ้นไทยไม่มีหุ้นเทคโนโลยี ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูด หรือหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคป สูงๆ โดยกลุ่มที่จะดันตลาดช่วงที่เหลือยังเป็นหุ้นกลุ่มธนาคาร จากอานิสงส์ภาวะเศรษฐกิจที่เติบโต และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานยังเป็นไปตามราคานํ้ามันตลาดโลก

หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,396 วันที่ 30 ส.ค.-1 ก.ย. 2561

e-book-1-503x62-7