‘ทรีนีตี้’ออก 7 โปรดักต์ลงทุนลุ้นกำไรสูงสุด 20%

13 ก.พ. 2559 | 11:00 น.
บล.ทรีนีตี้ฯ ออกผลิตภัณณฑ์ใหม่ เปิดตัว "7 ผู้ช่วยการลงทุน" ครอบคลุมทุกสไตล์การลงทุนทั้งระยะสั้น-กลาง-ยาว คาดหวังผลตอบแทน 5-20% ชี้เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงสุด ส่องตลาดหุ้นไทยระยะสั้นเดือนกุมภาพันธ์ ดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,250-1,350 จุด

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อให้กับความต้องการของนักลงทุน ครอบคลุมทุกสไตล์การลงทุนทั้งระยะสั้น-กลาง-ยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่สูงสุด โดยแบ่งออกเป็น 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 5 - 10% ได้แก่

ผลิตภัณฑ์ "All About Technical Chart" การลงทุนแบบเทคนิคัล เน้นเก็งกำไรระยะสั้น ใช้ปัจจัยทางเทคนิคในการวิเคราะห์คัดเลือกหุ้นในพอร์ตประมาณ 5 - 10 บริษัท

ผลิตภัณฑ์ "Trinity Trigger" รูปแบบการลงทุนที่มีการกำหนดจุดทำกำไรของหุ้นแต่ละบริษัทที่ 5 - 10% คัดหุ้นในพอร์ต 5 บริษัท คัดเลือกหุ้นจากปัจจัยพื้นฐาน เทคนิคัล และจิตวิทยาการลงทุน (Sentiment)

ผลิตภัณฑ์ "Quant Trading" เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง มีการแนะนำให้เลือกขาย (Short) หุ้นที่มีแนวโน้นความเสี่ยงขาลง โดยที่ตลาดยังไม่ได้รับรู้ข่าวร้ายนั้น หรือใช้กลยุทธ์ Pair Trade ในการทำอาบิธาท หรือทำกำไรระหว่าง 2 บริษัท คัดเลือกหุ้นในพอร์ตจากหุ้นสามัญ, ใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ และซิงเกิล สต๊อก ฟิวเจอร์ส

และผลิตภัณฑ์ "Forex Weekly Alert" เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่มีความเกี่ยวข้องกับค่าเงิน ตราสารต่างประเทศ โดยเฉพาะค่าเงินสหรัฐอเมริกา เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยใช้ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลักในการวิเคราะห์

นอกจากนี้มีกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับนักลงทุนระยะกลางระหว่าง 1-3 เดือน คาดหวังผลตอบแทนระดับ 10-15% ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ "The Perfect Gems" เน้นการคัดเลือกหุ้นในพอร์ตในแต่ละช่วงเวลาประมาณ 5 บริษัท โดยใช้ข้อมูลทั้งการวิเคราะห์โดยบล.ทรีนีตี้ฯ และข้อมูลที่เป็นความเห็นของนักวิเคราะห์โดยรวม (Consensus)ใช้ปัจจัยเชิงปริมาณเป็นหลัก

กลุ่มผลิตภัณฑ์ระยะกลางถึงยาวระยะเวลาลงทุน 3-6 เดือน คาดหวังอัตราผลตอบแทนระดับ 15-20% ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ "Deep Value Stock" คัดเลือกหุ้นในแต่ละช่วงเวลาประมาณ 5 บริษัท ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ที่ควรจะเป็น หรือมีช่องทำกำไรที่สูง (Upside Gain) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ระยะยาวลงทุนตั้งแต่ 6-12 เดือน คาดหวังผลตอบแทนในอัตราไม่ต่ำกว่า 20% ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ "Business Model" โดยคัดสรรหุ้นในแต่ละช่วงเวลาประมาณ 5 บริษัท ที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างพื้นฐาน มีลักษณะธุรกิจเป็นผู้ชนะในระยะยาวในอุตสาหกรรม

"การออกผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื่อรองรับความผันผวนของตลาดหุ้นไทย ที่คาดว่าปี 2559 นี้ จะแกว่งตัวแรง 400 จุด หรือมีกรอบดัชนีที่ 1,100 - 1,500 จุด"

นายณัฐชาต กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยเดือนกุมภาพันธ์ว่า มีแนวโน้มปรับตัวค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยมองกรอบดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ 1,250-1,350 จุด ปัจจัยบวกจากตลาดเริ่มผ่อนคลายความกังวลต่อการชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) หลังธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลกส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมแล้ว จึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอ่อนค่าลง รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ในสหรัฐอเมริกาปรับตัวลง ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการไหลเข้าของเม็ดเงิน (ฟันด์โฟลว์) ในระยะสั้นในตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดหุ้นไทย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,130 วันที่ 11 - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559