'เซ็นทรัล' ยาหอม "นโยบายรัฐ"!! หนุนภาคบริการโต ส่งผลยอดขายพุ่ง 12%

20 ส.ค. 2561 | 05:38 น.
กลุ่มเซ็นทรัล เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกเติบโต 12% ชี้! ปัจจัยจากนโยบายภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การสื่อสาร และการคมนาคม ส่งผลผู้บริโภคจับจ่ายเพิ่ม ขณะที่ EEC หนุนภาคบริการแข็งแรง สร้างความเชื่อมั่นธุรกิจค้าปลีก ย้ำ! พร้อมเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องครึ่งปีหลัง




ทศ จิราธิวัฒน์

นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการกลุ่มเซ็นทรัลในครึ่งปีแรก มียอดขายเติบโตต่อเนื่อง จากการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศของกลุ่มบริษัทในเครือ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายของกลุ่มเซ็นทรัลให้เติบโต 12% ในครึ่งปีแรกของปีนี้ โดยกลุ่มเซ็นทรัลได้เปิดตัวโครงการใหม่ พร้อมนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาการให้บริการ เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ และความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น

โดยห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลได้เปิดตัวบริการออมนิแชแนลรูปแบบใหม่ "เซ็นทรัล แชท แอนด์ ช้อป (Central Chat & Shop)" เพื่อให้ลูกค้าสามารถติดต่อพนักงานได้ง่าย ๆ ผ่านแอพพลิเคชันไลน์ ทั้งสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ รวมถึงสั่งซื้อและเลือกให้สินค้ามาส่งที่บ้าน หรือ ไปรับสินค้าด้วยตนเอง ภายหลังจากเปิดตัวบริการนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และจะถูกนำไปปรับใช้กับธุรกิจอื่น ๆ ของกลุ่มเซ็นทรัลต่อไป


เซ็นทรัลเวิลด์

ด้าน สินค้าประเภทของใช้ในบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้ามีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยเฉพาะเพาเวอร์บาย ออนไลน์ ที่มียอดจำหน่ายเติบโตขึ้น 3 เท่าจากปีก่อน ภายหลังจากการเปิดตัวเว็บไซต์ออมนิแชแนล รวมถึงร้านซูเปอร์สปอร์ตก็ได้ รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากลูกค้า หลังจากการเปิดตัวแฟล็กชิฟสโตร์โฉมใหม่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ที่มาพร้อมนิวคอนเซ็ปท์ที่ตรงใจคนรุ่นใหม่และลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์แอ็คทีฟ


Central Phuket3

ส่วนธุรกิจที่เป็นหัวใจหลักของกลุ่มเซ็นทรัล อย่าง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น ก็มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และในครึ่งปีหลัง ซีพีเอ็นได้เปิดตัว "เซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต เฟส 2" ซึ่งเป็นศูนย์การค้าและไลฟ์สไตล์ฮับระดับลักชัวรี่ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าไฮเอนด์และนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ทางกลุ่มเซ็นทรัลยังมีแผนที่จะเปิดศูนย์การค้าและร้านค้าใหม่ ๆ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนามอีกด้วย

ในส่วนของโรงแรมเซ็นทาราก็มียอดขายครึ่งปีแรกเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในส่วนของร้านอาหารและห้องพัก ซึ่งเป็นอานิสงส์มาจากกระแสการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่เติบโตและมีนักท่องเที่ยวจากชาติต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง และในส่วนของครึ่งปีหลัง กลุ่มเซ็นทรัลยังมีสินค้าและบริการใหม่ ๆ รออยู่อีกมากมาย อาทิ แอพพลิเคชัน The1 โฉมใหม่ ที่สมาชิกสามารถจัดการคะแนนก็สามารถทำได้ง่าย ๆ รวมถึงสามารถเช็กโปรโมชัน กดรับคูปอง หาร้านค้า และรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ จากทุกกลุ่มธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัลและพันธมิตรอื่น ๆ ได้อีกด้วย


jd

ด้าน ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ของกลุ่มเซ็นทรัลก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด ภายหลังการเซ็นสัญญาร่วมมือกับ JD.com เมื่อปลายปีก่อน เกิดเป็นเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซ JD.co.th ของเจดี เซ็นทรัล (JD Central) ที่ได้ทดลองเปิดตัวไปเมื่อเดือน มิ.ย. และมีความพร้อมทั้งระบบจัดส่งสินค้า การชำระเงิน การให้บริการลูกค้า เพื่อมอบประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์ที่น่าประทับใจ โดยจะมีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ลูกค้าจะสามารถเลือกซื้อสินค้าได้กว่า 5 แสนรายการ จาก 4,000 แบรนด์ พร้อมข้อเสนอพิเศษและโปรโมชั่นอีกมากมาย นอกจากนี้ JD Central ในประเทศไทยยังอยู่บนเว็บไซต์นานาชาติของ JD.com ที่มีความพร้อมในด้านระบบการขนส่งสินค้าระดับโลก  ทำให้แบรนด์สินค้าหรือผู้ประกอบการไทย มีโอกาสในการขยายธุรกิจและเข้าถึงลูกค้าทั้งในประเทศจีนและลูกค้าทั่วโลกอีกด้วย


ทศ จิราธิวัฒน์ ,ริชาร์ด หลิว ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท JD.com

นายทศ กล่าวอีกว่า การที่กลุ่มเซ็นทรัลเติบโตขึ้นในทุก ๆ ด้าน ส่วนหนึ่งมีปัจจัยมาจากนโยบายทางเศรษฐกิจ และแนวทางต่าง ๆ ของภาครัฐ ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การสื่อสาร และการคมนาคมของประเทศ ให้ทัดเทียมกับนานาชาติ ทำให้ยอดการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในทุกประเภทสินค้า ไม่ว่าจะเป็น สินค้าแฟชั่น ของใช้ในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหาร นอกจากนี้ การที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น ก็ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าและโรงแรมของกลุ่มเซ็นทรัล ส่วนยอดขายออนไลน์ก็เติบโตขึ้นมาก เนื่องมาจากเทรนด์ออมนิแชแนลและบริการออนดีมานด์ ซึ่งเชื่อได้ว่า ธุรกิจนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านการขนส่งสินค้า

"อีกหนึ่งสัญญาณด้านบวกของประเทศไทย คือ การที่รัฐบาลมีนโยบายลงทุนครั้งใหญ่ในด้านคมนาคม ด้วยเม็ดเงินกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น การขยายทางด่วน พัฒนารถไฟความเร็วสูง เพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่ง และโครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ภาคบริการสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต และเกิดความเชื่อมโยงระหว่างเมืองต่าง ๆ ต่อยอดเป็นความมั่นคงในธุรกิจค้าปลีกและพาณิชย์ทั่วประเทศ" นายทศ กล่าวและว่า

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศครั้งนี้ เป็นส่วนสำคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโต โดยเฉพาะภาคบริการ และช่วยให้ประชากรกว่า 20 ล้านคน พ้นจากความยากจนในอาชีพเกษตร ด้วยการสนับสนุนให้เหล่าเกษตรกรหันมาประกอบอาชีพด้านบริการและอุตสาหกรรม ซึ่งนโยบายทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศไทยให้ก้าวพ้นจากประเทศรายได้ระดับปานกลางสู่ประเทศรายได้สูงในอนาคต


……………….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ผู้นำลูกผสม เชื่อมศาสตร์แห่งศิลปะและธุรกิจ...สู่นิวเซ็นทรัล
ซีพีเอ็น เผยโฉมใหม่  “เซ็นทรัล พระราม3”  Center of Hip Lifestyle Quality


e-book-1-503x62-7