งาน Baselworld และงาน The Salon International de la Haute Horlogerie ( SIHH) งานวอทซ์แฟร์ระดับโลกที่นักสะสมนาฬิกาเฝ้าคอย และปีนี้ก็จัดขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เช่นเดิม
นอกจากนาฬิกาหลากหลายคอลเลคชั่นที่แบรนด์ดังนำเสนอแล้ว สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและถูกพูดถึง คือ
"เทรนด์ นาฬิกา 2018" ซึ่ง 4 เทรนด์ที่ถูกกล่าวถึงและนักสะสมต้องรู้ (จะซื้อหรือไม่ซื้อ นั่นอีกเรื่อง) ได้แก่
เทรนด์ที่ 1 "Classic Vintage"
จะผ่านไปกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ดีไซน์และสีสันอันคลาสสิกของนาฬิกาแห่งยุคสมัยยังคงเสน่ห์จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะนาฬิกาจากยุค 50s-60s นำมาสร้างสรรค์ใหม่อีกครั้งเป็นเรือนเวลาล้ำค่า รูปทรงสอดรับกับข้อมือและรสนิยมของหนุ่มสาวปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติยาวนาน หันกลับนำ
"ตำนาน" มาบอกเล่าสู่คนรุ่นหลัง ให้เรียนรู้ถึงความคลาสสิก ที่มองกี่ครั้งก็ยังงดงาม นาฬิกาหลายแบรนด์มีนวัตกรรมในการดีไซน์ และตกแต่งความ
"เก่า" ได้ล้ำสมัย แต่ยังคงความงามและอัตลักษณ์ได้อย่างแนบเนียน
หนึ่งในตัวอย่างของเทรนด์
"คลาสสิก วินเทจ" คือ มงต์บลองค์ (MONTBLANC) รุ่น 1858 Chronograph Tachymeter Limited Edition ที่มีเพียง 100 เรือนทั่วโลกและ 1 เดียวในไทยที่รอคอย
"ผู้มาครอบครอง" ความโดดเด่น คือ ตัวเรือนบรอนซ์ที่ออกซิเดชัน (Oxidation) กับอากาศจนได้คราบ patina ที่ดูย้อนยุค ยังไม่นับฟังก์ชั่นที่บอกได้เลยว่า รายละเอียดทุกกระเบียดนิ้วถูกดีไซน์และลงลึกแบบคาดไม่ถึง
[caption id="attachment_306513" align="aligncenter" width="503"]
มงต์บลองค์ (MONTBLANC)
รุ่น1858 Chronograph Tachymeter Limited Edition 100
ราคา 1,126,500 บาท[/caption]
[caption id="attachment_306514" align="aligncenter" width="503"]
มงต์บลองค์ (MONTBLANC)
รุ่น1858 Chronograph Tachymeter Limited Edition 100
ราคา 1,126,500 บาท[/caption]
เทรนด์ที่ 2 "Smart Functional Watch"
Technology Disruption ทำให้
"สมาร์ทโฟน" กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ส่งผลกระทบต่อหลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงแบรนด์นาฬิกาด้วย แต่วันนี้
"ผู้ประกอบการ" นาฬิกาเลือกที่จะลุกขึ้นมาปรับตัว เพื่อแข่งขัน สร้างสรรค์ ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์เหล่ามิลเลนเนียล พร้อมกับการเกิด
"สมาร์ทวอทซ์" ที่พลิกโฉมจาก
"นาฬิกา" ให้เป็นมากกว่าเครื่องบอกเวลา
ตัวอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึงว่า วันนี้จะสามารถสื่อสารผ่านนาฬิกาด้วย
"ซิติเซ็น" (CITIZEN) รุ่น Eco-Drive Bluetooth ที่แม้จะเป็นรุ่นที่เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านแอพพลิเคชั่นด้วยสัญญาณ Bluetooth สามารถเตือนการใช้งานได้อย่างชาญฉลาด ปรับเวลาได้ทุกแห่งในโลก เปลี่ยนแสงเป็นพลังงานโดยไม่ต้องใช้สายชาร์จ แต่ตัวเรือนและดีไซน์ยังเป็นแบบย้อนยุค จึงเหมาะกับสาวรุ่นใหม่ที่มีความมั่นใจสูง
[caption id="attachment_306515" align="aligncenter" width="503"]
CITIZEN(ซิติเซ็น)
รุ่นEco-Drive Bluetooth
สายหนัง จำหน่ายในราคาเรือนละ 22,850 บาท
สายสแตนเลส จำหน่ายในราคาเรือนละ 24,800 บาท[/caption]
[caption id="attachment_306516" align="aligncenter" width="503"]
CITIZEN(ซิติเซ็น)
รุ่นEco-Drive Bluetooth
สายหนัง จำหน่ายในราคาเรือนละ 22,850 บาท
สายสแตนเลส จำหน่ายในราคาเรือนละ 24,800 บาท[/caption]
เทรนด์ที่ 3 "Complicated Lady Watch"
จากกระแสฮิตนาฬิกาไซส์บิ๊ก หรือ บอยไซส์ ในช่วงที่ผ่านมา แม้จะยังคงอยู่ แต่กลับพบว่า เทรนด์นาฬิกาหวนกลับไปหาดีไซน์หน้าปัดที่มีขนาดเล็กลง ทำให้นาฬิกาของผู้หญิงดูนุ่มนวล สะท้อนความเป็นกุลสตรีมากยิ่งขึ้นและมาพร้อมการตกแต่งประดับประดาที่ซับซ้อน แทบไม่ต่างจากจิลเวลรี่วอทช์เรือนสุดหรู ขณะที่ นาฬิกาของผู้ชายก็เรือนเล็กลงเช่นกัน เพื่อความคล่องตัวในการสวมใส่มากขึ้นนั่นเอง
นาฬิกา
"ฟาแบร์เฌ่" (FABERGE) รุ่น Summer in Provence อิงกระแสได้อย่างโดนใจ ด้วยนาฬิกาที่ออกแบบให้คล้ายกับพวงมาลัยดอกไม้ในสายลมที่อบอุ่นจากฤดูร้อน เรือนเวลาประดับอัญมณีที่งดงามสะดุดตา ด้วยทักษะซับซ้อนและความอ่อนช้อยของอัญมณีที่ถูกขวางเปรียบเหมือนหินที่อยู่ในสวนดอกไม้/นาฬิกา ซัมเมอร์ อิน โพรวองซ์ เคยติดอันดับต้น ๆ ของนาฬิกาประเภทเครื่องประดับอัญมณีในการประกวดนาฬิการะดับสูงกรังด์ปรีซ์แห่งกรุงเจนีวา (GPHG) ตัวเรือนขนาด 37 มม. ทำจาก ทองคำขาวประดับอัญมณี และเพชร 967 เม็ด นํ้าหนัก 14.24 กะรัต สนนราคา 17,950,000 บาท และมีเพียง 1 เรือนในประเทศไทยเท่านั้น
[caption id="attachment_306517" align="aligncenter" width="503"]
FABERGE(ฟาแบร์เฌ่)
รุ่น Summer in Provence
ราคา 17,950,000 บาท[/caption]
[caption id="attachment_306518" align="aligncenter" width="503"]
FABERGE(ฟาแบร์เฌ่)
รุ่น Summer in Provence
ราคา 17,950,000 บาท[/caption]
เทรนด์ที่ 4 "Classic Complication"
ความมหัศจรรย์ของกลไกทูร์บิญอง ยังเป็นเสน่ห์ที่แบรนด์นาฬิกาชั้นนำต่างนำเสนอ งานฝีมือของช่างนาฬิกา ที่สร้างสรรค์กลไกสุดซับซ้อนจนกลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของแบรนด์นั้น ๆ แล้วอวดความวิจิตรของศิลปะแห่งกลไกเวลา ด้วยการเปลือยฝาหลังให้เห็นการทำงานและความสวยงามของจักรกล ยังคงความคลาสสิก ที่นักสะสมพลาดไม่ได้ และยังเพิ่มความน่าค้นหาให้กับผู้สวมใส่
ระบบกลไกทูร์บิญอง ต้องยกให้แบรนด์ แฟรงค์ มุลเลอร์ (FRANCK MULLER) ที่ปีนี้เปิดตัว รุ่น Vanguard Gravity full diamond กับเครื่องระบบกลไกทูร์บิญอง ขนาดใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งของหน้าปัดนาฬิกา มาพร้อมกับทูร์บิญองบริดจ์ขนาด 21 มม. ให้ความสวยงาม สะกดทุกสายตาให้มาจดจ้องที่หน้าปัด พร้อมด้วยกลไกอินเฮาส์อันเที่ยงตรงสมบูรณ์แบบที่สามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 5 วัน
[caption id="attachment_306519" align="aligncenter" width="503"]
FRANCK MULLER(แฟรงค์ มุลเลอร์)
รุ่นVanguard Gravity full diamond
ราคา 7,552,000 บาท[/caption]
[caption id="attachment_306520" align="aligncenter" width="503"]
FRANCK MULLER(แฟรงค์ มุลเลอร์)
รุ่นVanguard Gravity full diamond
ราคา 7,552,000 บาท[/caption]
……………….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
●
'นาฬิกาตึกแถว' เซ่นพิษออนไลน์!
●
"บิ๊กตู่" โชว์นาฬิกา "ไซโก"