"จีน-สหรัฐฯ" ขึ้นภาษีสินค้ารอบ 2!! ล็อกเป้ารถยนต์-เชื้อเพลิง มีผล 23 ส.ค. นี้

12 ส.ค. 2561 | 13:38 น.
120861-2025

ไม่ต้องกล่าวให้มากความ เพราะก่อนหน้านี้ จีนแถลงพร้อมรับมือมาตรการการค้าของสหรัฐอเมริกาทุกรูปแบบอยู่แล้ว โดยย้ำว่า สหรัฐฯ จัดมาเท่าไหร่ จีนก็จะโต้ตอบกลับไปเท่านั้น และยังมีมาตรการพร้อมพยุงเศรษฐกิจของตัวเอง หากเจอผลกระทบที่ทำให้ต้องชะลอตัวระยะยาว ดังนั้น เมื่อสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) ประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (7 ส.ค.) ว่า วันที่ 23 ส.ค. นี้ จะดีเดย์เก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 279 รายการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านดอลลาร์ จีนก็โต้คืนทันทีในวันที่ 8 ส.ค. ด้วยการประกาศขึ้นภาษี 25% สินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์ เท่าเทียมกัน และจะมีผลพร้อมสหรัฐฯ โดยครั้งนี้ รายการสินค้าที่จีนประกาศครอบคลุมถึงรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดใหญ่ รถบัส และจักรยานยนต์

กระทรวงพาณิชย์จีน เผยรายชื่อสินค้าสหรัฐฯ ที่จะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในลอตที่ 2 นี้ จำนวน 333 รายการ ครอบคลุมสินค้าสำคัญ ๆ ของสหรัฐฯ หลากหลายประเภท นอกจากยวดยานพาหนะแล้ว ยังมีสินค้าในกลุ่มเชื้อเพลิง เช่น ถ่านหิน ฯลฯ น้ำมันเครื่อง วาสลิน แอสฟัลต์ สายเคเบิ้ลใยแก้ว ผลิตภัณฑ์พลาสติก และผลิตภัณฑ์รีไซเคิล

ถึงขณะนี้ กล่าวได้ว่า สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกานั้น เกิดขึ้นแล้วเต็มรูปแบบ และผู้นำสหรัฐฯ ก็ยืนยันว่า จะใช้มาตรการกดดันจีนต่อไป โดยเมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวหาจีนเล่นสกปรกในเกมการค้า และเล็งเป้าหมายโจมตีมาที่เกษตรกรของสหรัฐฯ ในขณะที่ กระทรวงพาณิชย์จีน ยืนยันว่า ทุกมาตรการตอบโต้ที่จีนนำมาใช้นั้น ก็เพื่อปกป้องเกียรติภูมิของประเทศจีน "การขึ้นภาษีสินค้าจีน 25% โดยสหรัฐฯ นั้น ไม่สมเหตุสมผล จีนจำเป็นต้องปกป้องผลประโยชน์ที่เรามีโดยชอบธรรมและเพื่อปกป้องระบบการค้าพหุภาคีด้วย" ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ของกระทรวงพาณิชย์จีน ระบุ


10-3391

สถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร? แนวโน้มข้างหน้าเป็นไปในทิศทางที่ดุเดือดเข้มข้นมากยิ่งขึ้น พิจารณาจากการที่สหรัฐฯ ประกาศว่า กำลังมีแผนขึ้นภาษีสินค้าจีนรอบถัดไป ซึ่งครั้งนี้เป็นอัตราเพิ่ม 10% คิดเป็นมูลค่ารวม 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และก็ไม่แน่ว่า อัตราที่เก็บเพิ่มนั้นจะเป็น 10% อย่างที่คิดไว้แต่แรก หรือจะจยับขึ้นเป็น 25% เพราะขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการเปิดรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและจะสิ้นสุดกระบวนการดังกล่าวในวันที่ 6 ก.ย. นี้ แต่ไม่ว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีระลอกถัดไปเท่าใดก็ตาม ฝ่ายจีนได้ประกาศเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว โดยระบุว่า ถ้าสหรัฐฯ เริ่มก่อน จีนก็จะเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มอีก 60,000 ล้านดอลลาร์

จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนอย่างเป็นทางการแล้ว คิดเป็นมูลค่ารวม 50,000 ล้านดอลลาร์ โดยรอบแรกเมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2561 มีผลไปแล้ว มูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์ และรอบ 2 ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค. นี้ อีก 16,000 ล้านดอลลาร์ โดยเล็งเป้าหมายไปที่สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติก เคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์เกี่ยวกับรถไฟและการเดินรถไฟ

 

[caption id="attachment_305322" align="aligncenter" width="503"] ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์[/caption]

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยเอ่ยปากว่า เขาอาจเสนอเก็บภาษีเพิ่มสินค้าจีน "ทุกรายการ" เลยก็เป็นได้ ซึ่งสถิติในปีที่ผ่านมา (2560) ชี้ว่า สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีนคิดเป็นมูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ ดังนั้น ที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีไปแล้ว 50,000 ล้านดอลลาร์ จึงเป็นเพียง 1 ใน 10 ของสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่เอาไว้

สถาบันวิจัยออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ ได้เคยประมาณการไว้ว่า สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่กำลังเกิดขึ้น อาจส่งผลทำให้เศรษฐกิจของจีน (วัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี) หดตัวลง 1.3% และเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัว 1% ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมหดตัวลง 0.7% ภายในปี 2563 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า แม้ว่าการคาดการณ์ยังเป็นในเชิงบวกว่า ยังไม่เห็นสัญญาณความเสี่ยงหลัก ๆ ที่ชี้ว่า เศรษฐกิจโลกจะเดินหน้าเข้าสู่ภาวะชะงักงันจนสร้างความเสียหายในวงกว้าง แต่ก็มีร่องรอยความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามการค้าระหว่างประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลกในครั้งนี้ จะสร้างแรงกระทบทำให้ปริมาณการค้าของโลกลดลงอย่างมาก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในทศวรรษ 1930


GP-3355_180410_0005-1-1446

นอกจากนี้ หน่วยงานวิจัยเศรษฐกิจ The Economist Intelligence Unit ยังคาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะรามือจากการสร้างความขัดแย้งกับคู่ค้ากลุ่มอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป (อียู) หรือ แคนาดากับเม็กซิโก (ซึ่งร่วมภาคีข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ หรือ นาฟต้า) โดยหันมาเทน้ำหนักที่การต่อรองและเปิดศึกการค้ากับจีน ซึ่งหากมีการประกาศขึ้นภาษีสินค้าเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ ก็จะมาถึงจุดที่จีนจำเป็นต้องขึ้นภาษีสินค้าทุกรายการที่นำเข้าจากสหรัฐฯ (เนื่องจากจีนนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ น้อยกว่าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่มาก) ซึ่งหากสถานการณ์ไปถึงขั้นนั้น จะทำให้จีนจำเป็นต้องใช้มาตรการอื่น ๆ แทน ซึ่งน่าจะรวมถึงการตั้งเงื่อนไข หรือ กฎระเบียบการค้า ที่ยุ่งยากสำหรับสหรัฐฯ

แต่ที่บริษัทเอกชนอเมริกันหวาดหวั่นกันมาก คือ การเล็งเป้าไปที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยเฉพาะ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่ของทางการจีน ได้นำเสนอบทความระบุว่า รัฐบาลจีนอาจทำให้ บริษัท แอปเปิลฯ ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์สัญชาติอเมริกัน ประสบความยุ่งยากในการดำเนินธุรกิจในจีนก็เป็นได้ เพราะที่ผ่านมา บริษัทก็สร้างผลกำไรมากมายมหาศาลจากแรงงานราคาถูกและเครือข่ายซัพพลายเออร์ที่แข็งแกร่งในจีน แต่กลับคืนกำไรให้กับจีนเพียงน้อยนิด แม้ว่านี่เป็นเพียงบทบรรณาธิการแสดงความคิดเห็น แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่า เมื่อสงครามการค้าเดินหน้ามาถึงจุดแตกหัก นี่ก็อาจเป็นเครื่องมือต่อรองที่จะถูกนำมาใช้


……………….
รายงานพิเศษ โดย โต๊ะข่าวต่างประเทศ

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,391 วันที่ 12-15 ส.ค. 2561 หน้า 10

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ราคาน้ำมันดิบปรับลดต่อเนื่องจากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
จีนโต้กลับ 'ทรัมป์' รอบ 2! เก็บภาษีนำเข้า 1.6 หมื่นล้านดอลล์ - อิหร่านลั่น! ไม่คุยกับ 'สหรัฐฯ'


ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว