NIAผนึกอิสราเอลติดสปีดนวัตกรรมไทยสู่ระดับอินเตอร์

27 ก.ค. 2561 | 10:43 น.
เอ็นไอเอผนึกกำลังอิสราเอล ติดสปีดนวัตกรรมไทยสู่ระดับอินเตอร์ พร้อมดึงอิสราเอลโมเดลหนุนการเติบโตธุรกิจเกษตร-ไซเบอร์-ไอโอที

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA จับมือ สำนักงานนวัตกรรมอิสราเอล (Israel Innovation Authority) หรือ IIA เดินหน้าความร่วมมือการพัฒนาระบบนวัตกรรมของทั้งสองประเทศ โดยมุ่งให้การสนับสนุนการแลกปลี่ยนองค์ความรู้ การพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกันระหว่างบริษัทไทยกับบริษัทอิสราเอล ผ่านกลไกการให้ทุน นอกจากนี้ ยังได้เตรียมนำต้นแบบการพัฒนานวัตกรรมจากอิสราเอลมาสู่ประเทศไทย อาทิ การดึงดูดให้บริษัทข้ามชาติระดับโลกมาตั้งศูนย์วิจัยเพื่อทำงานร่วมกับนักวิจัยและสถาบันการศึกษา การสนับสนุนการเงินจากภาครัฐสู่ภาคธุรกิจ รวมทั้ง การผลักดันให้สตาร์ทอัพและธุรกิจนวัตกรรมไทยเข้าถึงเทคโนโลยีและตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะสาขาธุรกิจนวัตกรรมด้านการเกษตร ด้านอาหาร ด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ (Cyber Security) และ Internet of Things หรือ ไอโอที

nia

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า เอ็นไอเอ ได้มุ่งสร้างเครือข่ายนวัตกรรมในระดับประเทศ เพื่อสนับสนุนให้ระบบนวัตกรรมไทยได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้ใหม่ๆ ความร่วมมือในการต่อยอดธุรกิจ การร่วมลงทุน ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนนโยบายที่จะผลักดันให้เกิดสตาร์ทอัพเนชั่น (Startup Nation) และธุรกิจนวัตกรรมให้ขยายขอบเขตไปสู่ระดับนานาชาติ เพื่อสร้างมูลค่าใหม่ให้กับสินค้าและบริการ โดยยังจะช่วยเปิดมุมมองให้ผู้พัฒนานวัตกรรมได้มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้น และตอบสนองได้ตรงกับตลาดผู้ใช้นวัตกรรมในระดับโลกได้อย่างตรงจุด

ล่าสุด NIA ได้ร่วมมือกับ สำนักงานนวัตกรรมอิสราเอล (Israel Innovation Authority หรือ IIA) ดำเนินความร่วมมือระดับองค์กรเพื่อส่งเสริมการเติบโตของผู้ประกอบการของทั้ง2ประเทศ ซึ่งจะเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกันระหว่างบริษัทไทยกับบริษัทอิสราเอล ผ่านกลไกการให้ทุนของ เอ็นไอเอ และ ไอไอเอ โดยเอ็นไอเอ จะเป็นผู้ให้ทุนแก่ผู้ประกอบการไทย ขณะที่ไอไอเอ เป็นผู้ให้ทุนแก่บริษัทอิสราเอลที่จับคู่ทำโครงการกับบริษัทไทย นอกจากนี้ การร่วมมือกันในครั้งนี้ ยังจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ เข้าถึงเทคโนโลยีและตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะสาขาธุรกิจนวัตกรรมด้านการเกษตร ด้านอาหาร ด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ (Cyber Security) และ Internet of Things (IoT)

nia2 ดร. อามี แอปเปิลโบม

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า อิสราเอลยังมีความน่าสนใจในการพัฒนาสตาร์ทอัพ และสามารถนำมาเป็นต้นแบบในการส่งเสริมสตาร์ทอัพและธุรกิจนวัตกรรมไทยได้ในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น วิธีการในการเข้าถึงกลุ่มเงินทุน การจัดการทรัพยากรและการสร้างผลผลิตที่มีอยู่อย่างจำกัดโดยเฉพาะประชากรที่ทำงานเกี่ยวกับเกษตรกรรม การสร้างความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคการศึกษาที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การสนับสนุนการเงินจากภาครัฐสู่ภาคธุรกิจ การดึงดูดให้บริษัทข้ามชาติระดับโลกมาตั้งศูนย์วิจัย เพื่อทำงานร่วมกับนักวิจัยและสถาบันการศึกษา
ตลอดจนวิธีการผลักดันจำนวนสตาร์ทอัพต่อจำนวนประชากร ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 8,000 ราย (ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) และมีสัดส่วนการประสบความสำเร็จ 1 : 10 ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับในประเทศอื่นๆ

นอกจากนี้ อิสราเอลยังมีความโดดเด่นในการพัฒนาเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับไซเบอร์ ซึ่งไทยจะต้องนำต้นแบบในการสนับสนุนระบบนิเวศน์มาพัฒนา โดยมี 4 ส่วนที่จำเป็น คือ

1) ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อก่อให้เกิดการวิจัยและพัฒนา การสร้างประสบการณ์ในการพัฒนา และการสร้างมาตรฐานของการวิจัยด้านไซเบอร์ 2)กระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมไซเบอร์ โดยเน้นในเรื่องนโยบาย และกฏระเบียบต่างๆ 3)เทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยี ที่พร้อมจะนำไปสู่กระบวนการใช้งานได้จริงในเชิงพาณิชย์
4) บุคลากรด้านไซเบอร์ ที่จะต้องสร้างให้เกิดผู้เชี่ยวชาญ และการสร้างองค์ความรู้ด้านไซเบอร์พร้อมด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้น

nia1

สำหรับในปัจจุบัน ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางนวัตกรรมสูงระดับต้นๆของโลก อันดับนวัตกรรมของประเทศดังกล่าวอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก เป็นอันดับที่ 1 ในหลากหลายด้าน ได้แก่ การเชื่อมโยงทางนวัตกรรมระหว่างองค์กร ความสามารถในงานวิจัยทางธุรกิจ นักวิจัย การส่งออกสินค้า ICT กองทุนที่ลงทุนในสตาร์ทอัพ (Venture Capital : VC) และยังอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลกในด้าน การพัฒนาแอพพลิเคชั่น ความคิดสร้างสรรค์ในธุรกิจบริการและการต่อยอดทางวัฒนธรรม และการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม ISO:9001 ดร.พันธุ์อาจ กล่าวสรุป

ด้าน ดร.เมเอียร์ ชโลโม เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย กล่าวว่า หากประเทศไทย ซึ่งกำลังก้าวสู่ยุค 4.0 และอิสราเอล ในฐานะชาติแห่งสตาร์ทอัพ ร่วมมือกัน จะต้องเกิดผลดีอย่างมากตามมาอย่างแน่นอน เชื่อว่าการลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญประการหนึ่งของความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างประเทศไทยและอิสราเอล

ขณะที่ ดร. อามี แอปเปิลโบม หัวหน้านักวิทยาศาสตร์และผู้บริหาร สำนักงานนวัตกรรมอิสราเอล กล่าวว่าการลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น ที่จะนำไปสู่ความร่วมมือในระดับต่อไป ซึ่งความสำเร็จจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราสร้างเครือค่ายไปทั่วโลก

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว