‘พาณิชย์’ ย้ำ FTA ทุกกรอบโปร่งใส พร้อมเปิดกว้างรับฟังความเห็นประชาชน

23 ก.ค. 2561 | 10:51 น.
- 23 ก.ค. 61 - นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการเจรจา RCEP ของไทย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-27 ก.ค. 2561 โดยมีวาระพิเศษ 2 ช่วงที่เปิดให้หัวหน้าคณะเจรจา RCEP จาก 16 ประเทศ ได้พบกับผู้แทนภาคเอกชน และภาคประชาสังคมของ RCEP รวมแล้วกว่า 40 องค์กร โดยมีผู้แทนภาคประชาสังคมของไทยเข้าร่วมด้วย เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น รวมถึงข้อเสนอแนะต่อการเจรจา RCEP ในหลากมิติ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของประเทศไทยที่ให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนอย่างโปร่งใส g8adbedgced79abfaafah

นอกจากนี้กรมฯจะใช้โอกาสนี้ในการขับเคลื่อนนโยบายการค้าโดยเฉพาะการเน้นหาตลาดและช่องทางการจำหน่ายให้กับสินค้าของไทย เปิดพื้นที่ให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออกสินค้าเกษตร และสินค้าสิ่งบ่งชี้ภูมิศาสตร์ (GI) กว่า 20 ราย ได้นำผลิตภัณฑ์มาจัดแสดงและจำหน่ายให้กับผู้เข้าร่วมการประชุมกว่า 1,000 คน จาก 16 ประเทศสมาชิก RCEP ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าเกษตร หัตถกรรม และ GI ให้กับผู้เข้าร่วมประชุมให้ได้เห็นศักยภาพสินค้าไทย และขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าดังกล่าว

ส่วนกรณีที่มีภาคประชาสังคมแสดงความกังวลต่อการที่ไทยแสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลง CPTPP นั้น กระทรวงพาณิชย์ได้จัดตั้งคณะทำงานเตรียมการพิจารณาเข้าร่วมความตกลง CPTPP โดยมี รมว.พาณิชย์เป็นประธาน และมีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องรวม 25 หน่วยงาน ร่วมเป็นคณะทำงาน ซึ่งได้มีการประชุมคณะทำงานฯ ครั้งที่ 1 ไปแล้ว เมื่อเดือน พ.ค. 2561 มีมติมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษารายละเอียด และจัดหารือรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมในประเด็นต่างๆ อย่างรอบคอบ และต่อเนื่อง เพื่อรวบรวมความเห็นเสนอต่อที่ประชุมคณะทำงานฯ ครั้งที่ 2 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในเดือน ส.ค. 2561

นอกจากนี้ กรมฯ ยังเตรียมจัดสัมมนารับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ทั่วทุกภูมิภาคของไทย ในช่วงเดือน ส.ค. ถึง ก.ย. 2561 เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องผลประโยชน์ ผลกระทบ ข้อกังวล มาตรการเยียวยาที่ต้องการจากรัฐบาลหากไทยเข้าร่วม CPTPP ซึ่งกรมฯ จะรวบรวมความเห็นของทุกภาคส่วน เป็นข้อมูลเสนอรัฐบาลประกอบการตัดสินใจในเรื่องนี้ เนื่องจากไทยยังมีเวลาในการพิจารณาอย่างรอบด้าน เพราะกว่าความตกลง CPTPP จะมีผลใช้บังคับ และเปิดรับสมาชิกใหม่ คาดว่าจะประมาณช่วงต้นปี 2562

RCEP ขณะเดียวกัน กรมฯ ได้จัดจ้างสถาบันวิจัย ซึ่งเป็นหน่วยงานภายนอก ที่มีความเป็นกลาง ดำเนินการศึกษาผลประโยชน์ ผลกระทบ ที่ไทยจะได้รับจากการเข้าร่วม CPTPP เพิ่มเติมจากที่เคยจ้างศึกษาไว้แล้วเมื่อครั้งยังเป็นความตกลง TPP ซึ่งมีสหรัฐฯ ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งผลการศึกษาในเบื้องต้น พบว่า ไทยจะได้ประโยชน์ในการขยายการค้า การลงทุน ได้เพิ่มมากขึ้น

“สำหรับประเด็นที่ภาคประชาสังคมมีความกังวล เช่น เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งความยืดหยุ่นที่ประเทศกำลังพัฒนาได้รับ โดยเฉพาะในส่วนของการสาธารณสุข การเข้าถึงยาของประชาชน วิถีชีวิต วัฒนธรรมของเกษตรกร ตลอดจนสิทธิพลเมือง และสิทธิส่วนบุคคล และในส่วนของประเด็นการคุ้มครองการลงทุนของ CPTPP ได้รับการยืนยันจากสมาชิก CPTPP ว่ารัฐบาลของสมาชิก CPTPP ยังคงสามารถดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ความมั่นคง และผลประโยชน์สาธารณะได้ต่อไป สำหรับในส่วนของการเจรจา RCEP ไม่มีประเทศใดผลักดันเรื่องนี้ในการเจรจา โดยรัฐบาลยังคงสามารถดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ความมั่นคง และผลประโยชน์สาธารณะได้ตามที่เห็นสมควรเช่นกัน”

อย่างไรก็ตามกรมฯ ยืนยันว่า ในการเจรจา FTA ทุกกรอบ ได้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส และเปิดให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และในการจัดทำหนังสือสัญญาที่จะมีผลผูกพันประเทศไทยในอนาคต ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด โดยขณะนี้ CPTPP เป็นเรื่องที่ไทยสนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิก ซึ่งยังมีเวลา เพราะกว่าข้อตกลงจะมีผลบังคับใช้ ต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 6 ประเทศให้สัตยาบัน คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเดือนมกราคม 2562 ทำให้ไทยยังมีเวลาศึกษาผลดี ผลเสียอย่างรอบด้าน ส่วนความตกลง RCEP ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา หากการเจรจาสามารถหาข้อสรุปได้ กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการขอความเห็นชอบการลงนามจากรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ต่อไป