คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีมติ "บ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1" ของ 'อัคราฯ' มีการรั่วซึม

22 ก.ค. 2561 | 15:03 น.
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหา ข้อขัดแย้ง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการทำเหมืองแร่ทองคำ ของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหา ข้อขัดแย้ง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการทำเหมืองแร่ทองคำ ของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคประชาชน และผู้แทนของบริษัท อัคราฯ มีมติว่า บ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 (TSF1) มีการรั่วซึม และอาจเป็นสาเหตุการแพร่กระจายของโลหะหนัก เพิ่มเติมจากโลหะหนักที่อาจเกิดอยู่แล้วตามธรรมชาติ หลังจากที่ได้มีการรับฟังและพิจารณาจากรายงานผลการศึกษาโครงการ "การสำรวจตรวจสอบโอกาสการรั่วไหลของสารพิษจากบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 (TSF1) ของเหมืองทองคำ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) จังหวัดพิจิตร" ซึ่งมี ผศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และคณะ เป็นผู้ศึกษาโครงการ

โดยผลการศึกษามีข้อบ่งชี้ว่า พบความผิดปกติทางความต้านทานไฟฟ้าแสดงถึงการรั่วไหลของน้ำเหมืองจากบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 และพบความผิดปกติของธรณีเคมีร่วมกับไอโซโทป โดยระบุว่า มีร่องรอยการไหลของน้ำเหมืองจากบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 ไปถึงบ่อสังเกตการณ์ และบริเวณนาข้าวตามที่มีการร้องเรียนจากชาวบ้าน


361823

ประกอบกับข้อมูลการเพิ่มความถี่ในการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำผิวดินและน้ำใต้ดินอย่างต่อเนื่องของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และรายงานการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่พบว่า ภายหลังหยุดการประกอบกิจการ ในปี 2560-2561 คุณภาพน้ำผิวดินและน้ำบ่อสังเกตการณ์มีค่าโลหะหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด และเมื่อตรวจสอบข้อมูลทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการก่อสร้างบ่อกักเก็บกากแร่ พบว่า น้ำในบ่อกักเก็บกากแร่สามารถซึมผ่านชั้นดินเหนียวได้ หลังจากมีการใช้งานไปแล้วประมาณ 1 ปี  อีกทั้งพบว่า คุณภาพน้ำในบ่อ Seepage ซึ่งรองรับน้ำซึมใต้ชั้นดินเหนียว และน้ำในบ่อ Underdrain มีคุณสมบัติของน้ำใกล้เคียงกัน


S__8405075

นอกจากนี้ ข้อมูลการประเมินพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่กระจายของโลหะหนักในพื้นที่รอบเหมืองแร่ทองคำของ กพร. ซึ่งใช้ข้อมูลคุณภาพน้ำใต้ดินของ บริษัท อัคราฯ ในปี 2544-2558 ที่คณะทำงานย่อยประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้การรับรองแล้ว เปรียบเทียบกับข้อมูลคุณภาพน้ำใต้ดินช่วงหยุดการประกอบกิจการทำเหมืองและโลหกรรม ในปี 2560-2561 ที่บริษัท อัคราฯ รายงานต่อ กพร. พบว่า ภายหลังการหยุดการทำเหมือง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 72/2559 พื้นที่เสี่ยงที่มีการกระจายตัวของแมงกานีส สารหนู และเหล็ก เพิ่มขึ้นจากปี 2544-2558

"คณะกรรมการฯ ได้รับฟังความเห็นและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ทั้งจากรายงานทางวิชาการ และข้อมูลข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก ก่อนที่คณะกรรมการฯ ส่วนใหญ่จะมีมติดังกล่าว แม้ผู้แทนของบริษัท อัคราฯ จะไม่เห็นด้วยก็ตาม" ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำผิวดินและน้ำบ่อสังเกตการณ์มีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด และมีการตรวจสอบพบว่า มีการแพร่กระจายของโลหะหนักบริเวณรอบพื้นที่เหมืองแร่ทองคำ ได้สั่งการให้ บริษัท อัคราฯ เฝ้าระวังคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ปรับปรุงแก้ไขคุณภาพน้ำที่เป็นกรดบริเวณพื้นที่โครงการและคุณภาพน้ำในบ่อสังเกตการณ์ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อป้องกันผลกระทบออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอกพื้นที่โครงการ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้ กพร. พิจารณาแนวทางในการดูแลประชาชนในพื้นที่เสี่ยงด้วย


……………….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ถกเหมืองทองไม่คืบ รัฐยื้อ‘อัคราฯ’ยาว
อัคราขอค่าชดเชยกว่าพันล. ให้เวลารัฐ 3 เดือนหารือปิดเหมือง ก่อนส่งอนุญาโตฯตัดสิน


ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว