ไทยพาณิชย์เปิดสาขาแบงก์ที่เซี่ยงไฮ้รับอนาคตศูนย์กลางเงินหยวน ... 'วิชิต' ชี้! จับตา 3 ปี จีนเปิดทางให้เป็นอีกสกุลเงินกลางซื้อขายของโลก ย้ำ! เครือข่ายแบงก์พร้อมเชื่อมโยงจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ให้สัมภาษณ์พิเศษ "ฐานเศรษฐกิจ" ในโอกาสที่ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดสาขาที่มหานครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ย้ำ! เป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อรับอนาคตการเป็นศูนย์กลางเงินหยวน โดยไทยพาณิชย์พร้อมเชื่อมโยงธุรกิจให้เกิดการค้าการลงทุนที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย
โดยจีนวันนี้มีนโยบายเปิดเสรีธุรกิจการเงินอย่างเป็นรูปธรรมจริง ๆ เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน
เหมือนอเมริกามีนิวยอร์ก จีนก็จะมีเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเรามาตอนนี้เหมาะที่สุด ไม่ได้มาช้า แต่มาทันเวลาที่เขาเปิดร้านพอดี ถ้ามาก่อนยังไม่เปิดร้านก็เข้าไม่ได้
ที่ผ่านมา การเปิดออฟฟิศเปิดได้ แต่เรื่องสาขาหรือใบอนุญาตเป็นเรื่องยากมาก แต่กรณีของไทยพาณิชย์ปีเดียวได้เลย นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบาย Belt & Road ของประธานาธิบดี
'สี จิ้นผิง' ที่จะเกิดมีการติดต่อค้าขายทางการค้าระหว่างประเทศจีนกับเพื่อนบ้าน
ประกอบกับ ธนาคารไทยพาณิชย์เองก็ได้รับรางวัลเป็น The Best Belt & Road Bank 2 ปีซ้อน ขณะเดียวกัน ลูกค้าไทยเราเองอีกหน่อยจะค้าขายกับจีนเพิ่มขึ้นแน่นอน มีแต่เพิ่ม ไม่มีลด ดูจากแนวโน้ม 2 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าไทยมีตัวเลขการค้าเพิ่ม ทั้งปริมาณและจำนวน และประเทศไทยเองก็อยู่ในยุทธศาสตร์ที่เขาอยากสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย การมาเปิดสาขาแบงก์ไทยพาณิชย์ที่เซี่ยงไฮ้จึงสอดคล้องทุกอย่าง
ฮ่องกงกับเซี่ยงไฮ้ที่ไหนมีอนาคตเป็นศูนย์กลางการเงินมากกว่า
สอดคล้องกันมากกว่าจะบอกว่าอันไหนสำคัญกว่า เซี่ยงไฮ้เป็นจุดที่สำคัญมาก
เพราะวันหนึ่งในอีก 3-4 ปี ผมเชื่อว่า จีนจะยอมเปิดให้เงินเหรินหมินบี (RMB) หรือ เงินหยวน เป็นเงินกลางที่ใช้ซื้อขายกันระหว่างประเทศ และเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศได้ จัดเป็นคู่แข่งสำคัญของดอลลาร์สหรัฐฯ และศูนย์กลางเงินหยวน ถ้าอยู่ที่ฮ่องกงไม่ถูก ต้องอยู่ที่เซี่ยงไฮ้
[caption id="attachment_299504" align="aligncenter" width="503"]
©moerschy[/caption]
เศรษฐกิจจีนเวลานี้ขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของโลกแล้ว และเติบโตปีละ 6.5% ขณะที่ ตะวันตกโตปีละ 2% วันหนึ่งจีนก็ต้องขึ้นเป็นเบอร์ 1
เมื่อไหร่หยวนขึ้นเบอร์ 1
จริง ๆ ประเทศจีนมีจุดที่เรียกว่า เป็นหลักไมล์สำคัญ เดิมวางเป้าหมายปี 2020 ปีสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ซึ่งก็ค่อนข้างจะสมบูรณ์แล้วนะ อีกอัน คือ เมดอินไชน่า 2025 ทั้ง 2 เรื่องนี้ ที่จะตัดสินว่านโยบายหลักของจีนจะออกมาเป็นผลขนาดไหน แต่มันมีเวลาให้แล้วว่า ในอีก 7 ปีนี้ ที่จีนจะเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยี การค้า การเดินทาง ทุกอย่างกำลังประกาศศักยภาพของจีน เราเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ไกลและมีการค้ากันอยู่แล้ว ทำไมจะไม่ถือว่านี่เป็นโอกาสล่ะ
[caption id="attachment_299505" align="aligncenter" width="503"]
©GDJ[/caption]
ทั้งนี้
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศรับเงินหยวน หรือ เหรินหมินบี้ ของจีน เข้าร่วมในตะกร้าเงินของ IMF ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2559 ถือเป็นทุนสำรองได้เหมือนอีก 4 สกุลเดิม คือ เงินสกุลดอลลาร์ของสหรัฐฯ เยนของญี่ปุ่น ยูโรและปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ ส่วนการค้าจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย (ไม่นับรวมอาเซียน 9 ประเทศ) ในปี 2560 มีมูลค่ารวม 7.37 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 16% ที่ไทยค้ากับทั่วโลก ขณะที่ อาเซียนค้ากับจีนเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2560 มาอยู่ที่ 5.14 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 13.8% สูงสุดในบรรดาคู่ค้าหลักรายอื่นของจีน
เป้าหมายการเปิดสาขาไทยพาณิชย์ที่เซี่ยงไฮ้
เราเน้นที่เรื่อง Belt & Road ถ้ามาทำในจีนแล้วมาเพื่อค้าขายกับจีน คิดว่าเราไม่ได้มีข้อได้เปรียบ
แต่ข้อได้เปรียบของเรา คือ สอดคล้องกับนโยบายที่เขาต้องการจะทำการค้าขายกับไทย หรือ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเรามีเครือข่ายอยู่ ไม่ว่าจะเป็น สปป.ลาว เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา ก็ตาม เราเองก็ต้องไปอยู่ที่นั่น
[caption id="attachment_299507" align="aligncenter" width="503"]
©hectorgalarza[/caption]
เรื่องของ Belt & Road เรื่องของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก เป็นจุดสำคัญของจีน รวมถึงยุโรป ถ้าเขาจะไปก็ต้องผ่านไทย ผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นเรื่องที่วินวิน เพราะว่าเขาก็ต้องการเรา เราก็ต้องการเขา เป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่ ใครก็ตามที่ไม่เคยสนใจประเทศจีน หันมาสนใจได้แล้ว วันหนึ่งเขาจะมา ยุคนี้ศตวรรษนี้เป็นศตวรรษของประเทศจีนแล้ว
ประเมินสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนอย่างไร
ยอมรับว่า ประเมินไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ ตอนที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศว่า จะขึ้นภาษีเพื่อกีดกันทางการค้าเมื่อต้นปีนี้ ก็ยังมีความเข้าใจกันแพร่หลายเลยว่า เป็นการพูดไปทางการเมือง เพื่อจะเอาคะแนนการเมือง คิดว่าเป็นแค่สงครามน้ำลาย เพราะมันไม่มีใครได้ ไม่ใช่วินวิน แต่แพ้ทั้งคู่ ฉะนั้น เขาคงไม่ทำอย่างนั้น
[caption id="attachment_299508" align="aligncenter" width="503"]
โดนัลด์ ทรัมป์
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา[/caption]
แต่มาวันนี้มันไปไกล จนคนก็ตอบไม่ได้ว่าจะลงจากเวทีได้อย่างไร เมื่อมันขึ้นไปชกกันแล้ว ผมต้องยอมรับว่า ผมก็ไม่ทราบ ไม่ใช่เฉพาะกับจีนหรือกับเพื่อนบ้านเม็กซิโก แคนาดาก็ไม่รู้จะลงอย่างไร คือ ถ้ามองในแง่ของนักธุรกิจ หากรบกันนะ เสียหน้าหน่อยไม่ว่า ขอให้มีกำไร แต่ในด้านการเมืองระหว่างประเทศเรื่องเสียหน้ามันใหญ่ไปหน่อย
……………….
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,384 วันที่ 19-21 ก.ค. 2561 หน้า 01+15
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
●
เงินบาทขยับแข็งค่า 33.13 บาทต่อดอลลาร์ฯจับตาเงินหยวนของจีน
●
ธุรกิจแดนมังกรฉลุย กสิกรไทย ฟุ้ง! 2 เดือน ปล่อยกู้พุ่ง 3.7 พันล้านหยวน