เบนซ์ S 500 e ปลั๊กอิน หรูหรา เปี่ยมพลัง มลพิษต่ำ

07 ก.พ. 2559 | 12:00 น.
เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ประเดิมเจิมตลาดรถหรู ด้วยการเปิดตัวรถยนต์เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด ครั้งแรกในประเทศไทย The S 500 e รถยนต์ซีดานระดับ พรีเมียม ที่ผสมผสานทั้งเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และภาพลักษณ์อันหรูหราของรถยนต์ตระกูลเอส-คลาสเข้าไว้ด้วยกัน พร้อมด้วยอัตราการปล่อย CO2 ที่ลดเหลือเพียง 62 กรัม/กิโลเมตร นำเสนอในราคาเริ่มต้นที่ 6.39 ล้านบาท ในรุ่น The S 500 e Exclusive และ ราคา 6.99 ล้านบาท ในรุ่น The S 500 e AMG Premium พร้อมกันนี้ ยังได้แนะนำ The C 350 e ปลั๊กอินไฮบริด ในราคาเพียงแค่ 2.99 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากได้สิทธิพิเศษ เสียภาษีสรรพสามิตต่ำลง ตามโครงสร้างใหม่ที่พิจารณาตามการปล่อยไอเสีย ยิ่งสะอาด ยิ่งเสียภาษีน้อยลง

[caption id="attachment_30046" align="aligncenter" width="500"] S 500 e S 500 e[/caption]

ผมมีโอกาสขับทดสอบ S 500 e ปลั๊กอิน ไฮบริด บนเส้นทางเชียงใหม่ไปยังเชียงราย ซึ่งได้อารมณ์การขับขี่เหมือนรถสมรรถนะสูงเช่นเดิม S 500 e ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน แบบวี 6 ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ความจุ กระบอกสูบ 2,996 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 333 แรงม้า ที่ 5,250-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 480 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,600-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย พร้อมด้วยการติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง ซึ่งมีระบบหล่อเย็นจากน้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้ โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์จไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 31 กิโลเมตร

[caption id="attachment_30044" align="aligncenter" width="500"] S 500 e S 500 e[/caption]

ดีไซน์ภายนอกของ S 500 e ปลั๊กอิน ยังคงความหรูหราสง่างามด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ 3 มิติ นับตั้งแต่ฝากระโปรงแบบ long bonnet ความสวยงามของลายเส้นพลิ้วไหวด้านข้าง และ ความโค้งมนของเส้นหลังคา ตลอดด้านท้ายรถที่ออกแบบให้มีความลาดเท ทำให้ S 500 e มีสัดส่วนตัวรถสวยงาม ล้ำ หรูห้องโดยสารเน้นการใช้วัสดุคุณภาพสูง ลายไม้แบบ 2 โทนสี รวมทั้งเบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa แบบ Exclusive package ตัดเย็บลายเบาะแบบ diamond design พร้อมด้วยผ้าหลังคา และแผงบังแดดด้านหน้าหุ้มด้วย DINAMICA microfiber พร้อมด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบ ห้องโดยสารปรับเฉดได้ถึง 7 สี นอกจากนั้นยังติดตั้งพวงมาลัยหุ้มหนังสลับลายไม้ 2 ก้านแบบมัลติฟังก์ชันปรับน้ำหนักได้ตามความเร็วรถ

[caption id="attachment_30045" align="aligncenter" width="500"] S 500 e S 500 e[/caption]

ในช่วงของการขับทดสอบ S 500 e ผมสามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRID ได้ถึง 4 แบบ คือ HYBRID: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20 % ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น E-MODE : ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้จนถึงความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 33 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก ในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ และ CHARGE : การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลย

โดยภาพรวมของ เบนซ์ S 500 e ยังคงสมรรถนะที่โดดเด่นและความหรูหราเช่นเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต ที่ลดการปล่อยไอเสียสู่อากาศ ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ซึ่งโครงสร้างภาษีแบบใหม่ ช่วยให้คนไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยีพลังงานสะอาดได้ในราคาที่ถูกลง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,129 วันที่ 7 - 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559