- 18 ก.ค. 61 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงกลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) รายงาน The World Economic Outlook ฉบับล่าสุด ที่จัดทำเป็นประจำทุกปี โดย มีคำเตือนเป็นกรณีพิเศษถึงความตึงเครียดทางการค้าที่กำลังลุกลามระหว่างสหรัฐฯกับจีน
ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า นอกเหนือจากเรื่องความขัดแย้งทางการค้าแล้ว ไอเอ็มเอฟยังเล็งเห็นความเสี่ยงจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กองทุนสำรองแห่งรัฐ (เฟด) หรือ ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ที่จะขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งดูเหมือนว่าตลาดเงินโลกโดยรวมแล้วยังประมาทและไม่ระวังผลกระทบจากทั้งสองปัญหาเสี่ยงนี้อยู่ในเวลานี้
โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เพิ่งยกระดับความขัดแย้งทางการค้ากับจีนให้สูงขึ้น โดยสั่งการให้เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรวมมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์อีก 10% เพิ่มเติมจากการขึ้นภาษีนำเข้าเป็น 25% ต่อสินค้ามูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์จากจีนที่มีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา
แต่จีนใช้การตอบโต้สินค้าในมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์เท่ากันจากสหรัฐฯไปแล้ว และเตรียมตอบโต้เหมือนกันอีกครั้ง หากสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนอีกครั้ง
ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า การตอบโต้ทางการค้าซึ่งกันและกันของสหรัฐฯและจีนนั้น จะทำให้การค้าระหว่างประเทศโดยรวมของโลกลดต่ำลงแล้ว แต่ยังส่งผลกระทบต่อการลงทุนทางธุรกิจ, ห่วงโซ่การผลิตของโลกสะดุด, การกระจายตัวของเทคโนโลยีที่เพิ่มขีดความสามารถการผลิตชะลอตัว จนส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น โดยความขัดแย้งครั้งนี้จะทำให้การขยายตัวของการค้าโลกลดลง 0.5% (430,000 ล้านดอลลาร์)
ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า ในส่วนของจีน เชื่อว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง อยู่ที่ 6.6% ในปีนี้ ส่วนญี่ปุ่นยังคงเป็นชาติอุตสาหกรรมก้าวหน้าที่อัตราการขยายตัวต่ำสุด ที่ 1% เท่านั้น ด้านสหรัฐฯแม้จะมีความเสี่ยงจากสงครามการค้า แต่การที่รัฐบาลมีมาตรการลดภาษีลง ก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ในระดับหนึ่งและจะยังคงขยายตัวอยู่ที่ 2.4%
ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า สหรัฐฯนอกจากก่อความขัดแย้งทางการค้ากับจีนแล้วนั้น ยังสร้างความตึงเครียดทางการค้ากับสหภาพยุโรป (อียู) อีกด้วย
หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯเดินทางเยือนยุโรปแล้วก่อความตึงเครียดโดยดูจากความคิดเห็นของนายทรัมป์ที่กล่าวไว้ว่า “สำหรับตนแล้ว สหภาพยุโรปคือหนึ่งใน 'ศัตรูทางการค้าที่ใหญ่ที่สุด' ของตน”
ไอเอ็มเอฟ ได้เตือนสหรัฐฯ ว่า สภาพสงครามทางการค้าทำให้ทุกๆ ประเทศที่เกี่ยวข้องได้รับความเดือดร้อนเหมือนกัน แต่ถึงที่สุดแล้ว สหรัฐฯจะพบว่า ประเทศของตนจะกลายเป็น “จุดศูนย์รวมของการตอบโต้ทางการค้า” จากนานาประเทศ ส่งผลให้สัดส่วนของสินค้าออกของสหรัฐฯที่ถูกเรียกเก็บภาษีสูง และมีสัดส่วนสูงกว่าของประเทศอื่นๆ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯอยู่ในภาวะเสี่ยงเป็นพิเศษ
“ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกแม้จะขยายตัวแข็งแกร่งต่อไป โดยจะยังคงขยายตัวได้ที่ 3.9% ในปีนี้ และในปีหน้า แต่การเติบโตจะยิ่งไม่สม่ำเสมอ และความเสี่ยงต่อภาพโดยรวมจะยิ่งทวีมากขึ้น เพราะในขณะที่ประเทศบางประเทศขยายตัวได้ดี อีกบางประเทศกลับชะลอการเติบโตลงอย่างเห็นได้ชัด” ไอเอ็มเอฟ ระบุ
ไอเอ็มเอฟ ระบุเตือน ว่า สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น จะชะลอลงมากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอ่อนแอลงแล้ว ปัญหาตึงเครียดทางการเมืองก็เพิ่มขึ้น
“จะปรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรลง จากเดิมที่คาดว่าจะโตที่ 1.6% ลงมาเหลือ 1.4% ในปีนี้ เป็นผลพวงสำคัญจากการชะลอลงอย่างมากของเศรษฐกิจที่นั่นในช่วงไตรมาสแรกของปี เเละปัญหาเบร็กซิท ยังค้างคา ไม่มีผลคืบหน้าอย่างที่ควรจะเป็น
ส่วนเยอรมนี, ฝรั่งเศส และอิตาลี ถูกปรับลดการขยายตัวลงมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มประเทศยูโรโซน ถูกปรับลดการขยายตัวลงจาก 2.4% เป็น 2.2%”