29 กรกฎาคม 2561 จะเป็นวันเลือกตั้งทั่วไปของประเทศกัมพูชา เพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดกับประเทศไทยมากที่สุดประเทศหนึ่งในประชาคมอาเซียน แน่นอนว่า ภูมิทัศน์ทางการเมือง (Political Landscape) ในอาเซียนมีการพลวัตเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดี
Joko Widodo ในปี 2014 ที่นำพาการเมืองอินโดนีเซียไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมาภิบาล ความโปร่งใส บทบาทของกองทัพ ตลอดจนการเปลี่ยนวิธีคิดจากเน้นพัฒนาเศรษฐกิจบนเกาะต่าง ๆ กลายเป็นการเน้นพัฒนา Blue Economy หรือ พัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องทะเลแทน
หรือการเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดี
Rodrigo Duterte ในปี 2016 ที่ได้ฉันทามติอย่างท่วมท้นจากประชาชนฟิลิปปินส์ให้เข้ามาบริหารจัดการปัญหายาเสพติด ปัญหามาเฟีย ปัญหาอาชญากรรมในชุมชน โดยใช้มาตรการเด็ดขาดและไม่ต้องแคร์สายตาชาวโลก
ในห้วงเวลาเดียวกัน เมียนมาก็มีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลพลเรือนชุดแรกในรอบ 60 ปี Daw Aung San Suu Kyi ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาแห่งรัฐและมีบทบาทโดดเด่นยิ่งกว่าประธานาธิบดี แต่ก็พร้อมทำให้ประเทศเมียนมาเดินหน้าเข้าสู่ประชาคมโลกได้อย่างโดดเด่น
และล่าสุด 2018 มาเลเซียก็เกิดการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่สำคัญ นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงพรรคร่วมรัฐบาลจาก UMNO ที่ดูแลประเทศมาตั้งแต่ปี 1963 เป็นพรรคร่วมพันธมิตรแห่งความหวัง Pakatan Harapan ภายใต้การนำของ
Dr.Mahathir bin Mahamad ผู้นำที่ประกาศจะเข้ามาปฏิรูปการเมืองมาเลเซียให้โปร่งใสมากขึ้น
หรือแม้แต่ในประเทศไทย การเข้าสู่การเมืองของ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เกิดขึ้นหลังจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศไทย ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงและความขัดแย้งในสังคมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2005 อันนํามาสู่ความ พยายามของรัฐบาลไทยในการปฏิรูปการเมือง ซึ่งก็กําลังเดินหน้าอยู่ในขณะนี้ แน่นอนว่า คําถามที่หลาย ๆ คนคิดอยู่ในใจ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ทางการเมืองของประชาคมอาเซียน ก็คือ แล้วการเลือกตั้งปลายเดือน ก.ค. นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองเกิดขึ้นในกัมพูชาหรือไม่
คลื่นใต้น้ําในหมู่นักเรียนนักศึกษากัมพูชา ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เห็นการปฏิรูปทางการเมืองเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน อย่างน้อยก็ตั้งแต่ช่วงต้นของทศวรรษ 2000 ที่เราเห็นบทบาทของ
Sam Rainsy ที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และกระแสนี้ก็น่าจะถึงจุดสูงสุดภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่แล้วในปี 2013 เมื่อผลการเลือกตั้งในครั้งแรกออกมาว่า พรรค Cambodia People's Party (CPP) ภายใต้การนําของ
สมเด็จฮุน เซ็น ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชน 48.83% ในขณะที่ พรรค Cambodia National Rescue Party (CNRP) ภายใต้การนําของนายสม รังสี ที่ได้รับเสียงสนับสนุนถึง 44.46% (CNRP เกิดจากการผสมทัพระหว่าง พรรคเดิมของเขา คือ Sam Rainsy Party และพรรค Human Rights Party ของ Kem Sokha เข้าด้วยกัน)
เมื่อคะแนนเสียงของ 2 พรรคหลัก ตามติดกันชนิดหายใจรดต้นคอเช่นนี้ ร่วมกับการพบเห็นความไม่ชอบมาพากลจํานวนมากในการเลือกตั้งในปี 2013 อาทิ เนื่องจากกัมพูชาไม่ได้จัดทําสัมมะโนประชากรมานาน ทําให้คนที่เสียชีวิตไปแล้วหลายคนยังไม่ได้ ถูกคัดชื่อออกจากรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และมีอีกหลายคนที่มีสิทธิเลือกตั้งได้มากกว่า 1 เขตเลือกตั้ง ในขณะที่ สีที่ใช้จุ่มนิ้วเพื่อเป็นหลักฐานว่า มาใช้สิทธิเลือกตั้งไปแล้วไม่สามารถไปใช้สิทธิ์ซ้ําได้อีก ก็มีการพิสูจน์ได้ว่า สามารถล้างออกได้ด้วยน้ํามะนาวผสม น้ํายาทําความสะอาด
หรือแม้แต่การพบบัตรเลือกตั้งผีที่ใส่เข้ามาในกล่องมากกว่าจํานวนผู้มาใช้สิทธิ์ รวมทั้งการไม่ให้ผู้นําคนสําคัญ ๆ ของพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ CPP มีสิทธิ์ในการสมัครลงเลือกตั้ง โดยเฉพาะ
สม รังสี เอง ก็ถูกจํากัดสิทธิ์ ไม่ให้ลงแข่งขันในการเลือกตั้งด้วย เหล่านี้นําไปสู่การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งของพรรค
CNRP การไม่เข้า ร่วมเปิดประชุมรัฐสภาของ ส.ส.ฝ่ายค้าน และนําไปสู่การประท้วงที่ต่อเนื่องยาวนานถึง 11 เดือน 3 สัปดาห์ 3 วัน (28/7/2013-22/7/2014)
การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลกัมพูชาในครั้งนั้น ถือเป็นการชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ของกัมพูชา ฝ่ายแกนนําผู้ชุมนุมประมาณการกันว่า มีผู้เข้าร่วมชุมนุมถึงกว่า 500,000 คน และตัวเลขประมาณการนี้ลดลงเหลือประมาณ 100,000 คน โดยฝ่ายรัฐบาล โดยผู้ชุมนุมมีข้อเรียกร้องในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวง การต่อต้านการขยายอิทธิพลและกรณีพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกัมพูชาและเวียดนาม การต่อต้านการตัดไม้เถื่อน การต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ รวมทั้งการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งในปี 2013 การชุมนุมครั้งนี้น่าจะถือเป็นประวัติศาสตร์การมีส่วนร่วมทางการเมืองครั้งสําคัญที่สุดของประชาชนกัมพูชา หากแต่โมเมนตัมในการเคลื่อนไหวก็ยังไม่รุนแรงเพียงพอจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในกัมพูชาได้
เพราะเมื่อชุมนุมกันมาจะครบ 1 ปี ส.ส.พรรค CNRP กับรัฐบาลจากพรรค CPP ก็สามารถเจรจาตกลงกันได้ และยอมให้มีการเปิดประชุมรัฐสภา พร้อมกับข้อสัญญาจากรัฐบาลที่ว่าจะให้มีการปฏิรูปการเมืองเกิดขึ้น การต่อรองเพื่อให้ ส.ส. จาก CNRP ได้ดํารงตําแหน่งรองประธานรัฐสภาคนที่ 1 การให้สิทธิ์ ส.ส. จากฝ่ายค้านดํารงตําแหน่ง กรรมาธิการปราบปรามคอร์รัปชัน 5 จาก 10 ตําแหน่ง รวมทั้งให้สถานะ ส.ส. กับนายสม รังสี ซึ่งถูกห้ามไม่ให้ลงเลือกตั้งอีกด้วย การปรองดองดูเหมือนจะเกิดขึ้น การปฏิรูปดูเหมือนจะเดินหน้า ... แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เพราะหลังจากนี้
นายสม รังสี ก็จะถูกตามเช็กบิลผ่านการดําเนินคดีต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เขากล่าวหาเรื่องการแทรกแซงกิจการภายในของกัมพูชาโดยเวียดนาม จนในที่สุด นายสม รังสี ต้องเดินทางออกนอกประเทศ และลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค CNRP โดยมอบตําแหน่งให้กับรองหัวหน้าพรรค Kem Sokha ซึ่งในที่สุดก็ถูกกดดันจนประกาศยุบพรรค CNRP และทําให้ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน แตกกระสานซ่านเซ็น บ้างก็ย้ายไปอยู่พรรค CPP บ้างก็ไปซบอกพรรค FUNCINPEC ของ
เจ้านโรดม รณฤทธิ์ บ้างก็ไปสังกัดพรรคเดิม คือ พรรค Human Right แต่ก็ทําให้ฝ่ายค้านอ่อนกําลังลงมาก
ในขณะที่ การปฏิรูปการเมืองก็ไม่เกิดขึ้น การเลือกตั้งก่อนกําหนด ที่เคยสัญญากันไว้ก็ถูกเลื่อนจาก ก.พ. 2018 เป็นวันที่ 29 ก.ค. 2018 สื่อต่าง ๆ ที่พยายามจะเปิดเผย เส้นทางการเงินและการฉ้อราษฎร์บังหลวง ตลอดจนการเอื้อผลประโยชน์ให้พวกพ้องของผู้ใหญ่ในรัฐบาล ก็ถูกกําจัดออกไป บางรายถึงกับเสียชีวิต (แม้ว่าเหตุผลทางการเมืองอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลการทำข่าว) และที่สําคัญที่สุด ก็คือ โมเมนตัมของการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน จากคลื่นใต้น้ํา จนรวมกําลังและเกิดการชุมนุมต่อเนื่องได้ถึง 11 เดือน 3 สัปดาห์ กับอีก 3 วัน ได้จางหายไป กลับกลายเป็นคลื่นใต้น้ําที่แผ่วลงกว่าเดิม
พร้อม ๆ กับที่
จอมพล สมเด็จ อัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซ็น ประกาศตนในวัย 66 ปี ว่า เขาจะยังคงทํางานการเมืองต่อไป และจะขอเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาต่อไปอีก 2 สมัย ก่อนที่จะวางมือทางการเมืองในวัย 76 ปี และโดยหากนับจากวันที่เขาดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศ ในปี 1993 ฮุน เซ็น ก็จะกลายเป็นหนึ่งในนายกรัฐมนตรีที่ดํารงตําแหน่งยาวนานที่สุดในโลก และได้วางตัว
ฮุน มาเนตร (Hun Manet) ลูกชายคนโต ไว้เป็นทายาททางการเมืองเรียบร้อยแล้ว
สําหรับคุณผู้อ่านที่ต้องการข้อมูลล่าสุดเรื่องภูมิทัศน์ทางการเมืองของอาเซียน สามารถติดตามได้จากการเสวนา Changing Economic, Political and Social Landscape in ASEAN วันที่ 1 ส.ค. 2018 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุม 801 อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งกิจกรรม นี้จะเป็นส่วนหนึ่งของงานสัปดาห์จุฬาฯ-อาเซียน ครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ก.ค. ถึง 3 ส.ค. 2561
……………….
คอลัมน์ : เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ โดย ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,384 วันที่ 19-21 ก.ค. 2561 หน้า 07
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
● เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ |
Influencer Marketing กับกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
● เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ |
เศรษฐศาสตร์ว่าด้วย "การจัดงานวิ่ง" (ตอน 1)