เปล่าครับ ผมไม่ได้พูดถึง AI (เอไอ) ที่ย่อมาจาก Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่คอมพิวเตอร์หรือหุ่นยนต์มีสมองคิดสั่งการแก้ไขปัญหาจากโปรแกรมการเรียนรู้ที่สั่งสมจนแทบทำงานทดแทนหรือดีกว่ามนุษย์ได้ แต่ผมกำลังกล่าวถึงตัวแบบในการตัดสินของผู้บริหารที่ชื่อว่า AI Model หรือ ย่อมาจาก Appreciative Inquiry หรือ การใช้จิตวิทยาเชิงบวกเพื่อการสนทนาหาคำตอบอย่างสร้างสรรค์
Appreciative หมายถึงการชื่นชม หรือการมองผู้อื่นในทางบวก เห็นข้อดีของคนอื่น เวลาเรา appreciate ใคร เราจะชื่นชมเขาอย่างจริงใจ เห็นด้านดีของเขา เห็นความเป็น Hero ในตัวเขา และมองข้ามความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ
ส่วน Inquiry หมายถึงการเข้าถึง เช่น การอ่านหนังสือเป็นการเข้าถึงความรู้ที่ต้องการ ดังนั้นเมื่อเอา 2 คำมารวมกัน ย่อมหมายถึงการเข้าถึงอย่างชื่นชม หรือมีคนแปลเป็นไทยให้ยากขึ้น เช่น สุนทรียสาธก ซึ่งคงไม่เหมาะที่จะไปทำอะไรให้เข้าใจยากยิ่งขึ้น
วิธีการคิดแบบ AI. หรือ Appreciative Inquiry จึงเป็นการเริ่มต้นที่การสร้างสรรค์ (Constructive) มากกว่าการทำลาย (Destructive) และเป็นไปในเชิงบวก (Positive) มากกว่าเชิงลบ (Negative)
เขาแนะว่า หากลองสร้างเป็นแผนภาพ โดยเอาแกน X เป็นแกนทัศนคติ ซ้ายลบขวาบวก เอาแกน Y เป็นแกนของการสร้างสรรค์ ด้านบนสร้างสรรค์ ด้านล่างไม่สร้างสรรค์ ก็จะเกิดพื้นที่แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
ในพื้นที่ 4 ส่วน จากการตัดกันของเส้นแกน จำแนกคนออกเป็น 4 ประเภท คือ
คนประเภทที่ 1 เราเรียกนักเผด็จการ (The dictator) คนที่ติดอยู่ในกรอบความคิดแบบนี้มักจะมีประโยคประจำตัวคือ “ไม่” (No) ใครถามอะไร เสนออะไร ที่ไม่ตรงใจตน ก็จะ “ไม่”สั้นๆอย่างเดียว ไม่คิดจะอธิบายอะไรให้คนอื่นเข้าใจ เพราะฉันคือเจ้าขององค์กร ดังนั้นเมื่อฉัน “ไม่” ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆ เข้าใจหรือเปล่า
คนประเภทที่ 2 เราเรียกเขาว่าเป็น คุณครู (Schoolteacher) มีประโยคประจำตัวเช่นกันว่า “ไม่ ความคิดนี้ยังไม่เข้าท่าเพราะว่า......” (No, the idea isn’t good because…..) บุคคลประเภทนี้ยังเชื่อว่าตนเองรอบรู้ รู้ดีกว่าคนอื่น เหมือนคุณครูที่คิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าลูกศิษย์ ดังนั้นใครพูดอะไรที่ไม่ตรงใจตัว ก็จะบอก “ไม่”เช่นกัน แต่ยังมีความเป็นครูที่จะพยายามอธิบายในเหตุผลว่าทำไมจึง “ไม่” อันนี้ดูดีขึ้นมาหน่อย
คนประเภทที่ 3 เป็นพวกนักจับผิด (Fault-finder) ประโยคประจำตัวของเขาคือ “ความคิดนี้ก็ดี แต่ว่า......” (The idea is good, but…….) วิธีการพูดดังกล่าวแม้จะเป็นบวก แต่ก็ไม่สร้างสรรค์ เพราะผู้พูดยังมีความเป็นอัตตาสูง เชื่อมั่นในความคิดของตนแต่ฝ่ายเดียว แต่มีวิธีการในการพูดให้อ่อนโยน ให้ไม่เกิดการต่อต้าน เช่น “พร้อมเลือกตั้ง แต่ยังไม่ถึงเวลา” ดังนั้นจึงเป็นคนประเภทที่มีลีลา แต่แสวงหาจุดอ่อนทางความคิดของผู้อื่นมาโต้แย้ง เป็นพวกนักจับผิดตัวยง
คนประเภทที่ 4 เป็นพวก AI หรือพวกที่มีทัศนคติในเชิงบวกและสร้างสรรค์ ประโยคประจำตัวของเขาคือ “ได้ และผมคิดว่าควรจะมีอะไรเพิ่มเติมอีก คือ........” (Yes , and we could also……) การมีความคิดและสื่อสารออกมาด้วยวิถีดังกล่าว ถือว่าเป็นการนำเสนอที่สร้างสรรค์และสามารถสร้างความชื่นชมแก่คู่สนทนา เวลาผู้ใต้บังคับบัญชาเสนออะไรขึ้นมา ก็ไม่รีบปฏิเสธเขาแต่ยังจะช่วยต่อเติมเสริมแต่งให้เกิดความงอกงามทางปัญญา หัวหน้าประเภทนี้ก็จะเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องอยากเข้าพบ อยากช่วยกันเสนอแนะความคิดใหม่ๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงาน เพราะเมื่อเข้าหาจะได้รับการส่งเสริมและกลับออกมาด้วยความรู้สึกที่ดีว่าความคิดที่เสนอนั้นได้รับการยอมรับจากผู้บังคับบัญชา
เลิกพูดคำว่า “ไม่”
เลิกพูดว่า “ไม่ เพราะว่า.......”
เลิกเสียทีกับคำพูดที่ว่า “ได้ แต่ว่า.....”
วันนี้ต้องเริ่มพูดคำว่า “ได้ และควรเพิ่มเติมให้ดีขึ้นด้วย.........”
เพราะทุกความคิดของทุกคนล้วนแต่เป็นความคิดที่ดี และสามารถทำให้ดีขึ้นได้หากช่วยกันแต่งเติมในสิ่งที่มีคุณค่าเพิ่มเข้าไป วันนี้ต้องคิดบวกและสร้างสรรค์ครับ
| คอลัมน์ : Management Tools
| โดย : สมชัย ศรีสุทธิยากร
| หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ หน้า 6 ฉบับ 3383 ระหว่างวันที่ 15-18 ก.ค.2561