บรรยากาศประเทศในช่วง
"เปลี่ยนผ่าน" ผมว่ามันดูพิลึกอยู่นะครับ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง หรือ สังคม อย่างเรื่องเศรษฐกิจดูเหมือนจะดีด้วยการอัดแคมเปญประชานิยมเพื่อสร้างงาน ... หากแต่เศรษฐกิจปากท้องชาวบ้านก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นสักกี่มากน้อย ส่งผลให้พี่น้องคนไทยที่ยังอยู่ในวังวน
'พิษเศรษฐกิจ' ร้องจ๊ากไปตาม ๆ กัน
หันไปดูเรื่องการบ้านการเมืองที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่าง ๆ กันคึกคัก และเริ่มมีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่มีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา สอดรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 2562 แต่เมื่อล้วงลึกลงไปจริง ก็มีไม่กี่กลุ่มขั้ว ซ้ำร้ายกว่านั้นยังจับคู่เป็น
'คู่กัด' กันตั้งแต่ปี่กลองการเมืองเพิ่งโหมโรงเสียอีก
ไม่ลงลึกว่า 'คู่กัด' เป็นใคร? บ้างนะครับ เพราะคอการเมืองเขาดูออก แต่ที่น่าสนใจ ก็คือ การเคลื่อนไหวของพรรคเก่าแก่ 'ไทยรักไทย' ที่เปลี่ยนชื่อมาหลายชื่อ และล่าสุด ใช้ชื่อพรรคเพื่อไทย ก็มีเคลื่อนไหวกันแปลก ๆ เริ่มตั้งแต่ 'ป๋าเหนาะ' เสนาะ เทียนทอง เซียนการเมืองชื่อดังและอดีตผู้จัดการหลายรัฐบาล ที่เสนอแนวคิด 'รัฐบาลแห่งชาติ'
ขณะเดียวกัน ก็มีแพลน ๆ ข่าววงในจากพรรคเพื่อไทยด้วยว่า ตระกูล
'ชินวัตร' อาจยุติบทบาทต่าง ๆ ในพรรคเพื่อไทย ก็ฟังหูไว้หูกันนะครับ เพราะการเมืองไทย ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร หรือกระทั่งเป็นกลยุทธ์
"โยนหินถามทาง" ก็อาจเป็ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวกระเส็นกระสายออกมา ว่า พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคอนาคตใหม่ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ...
[caption id="attachment_298016" align="aligncenter" width="503"]
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ[/caption]
ถามว่า
'พรรคอนาคตใหม่' เกี่ยวข้องอันใดกับพรรคเพื่อไทย คำตอบก็คือ
'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' ทายาทไทยซัมมิท เป็นหลานชายของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทยนั่นเอง ... จึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เฉพาะอย่างยิ่งการรักษาฐานเสียงของ ส.ส. ในพื้นที่!?
"พักยก" เรื่องการเมืองไว้แค่นี้ เนื่องจากอีก 10 เดือน หรือ 300 วันก่อนมีการ
'เลือกตั้ง' เดือน ก.พ. 2562 อะไรต่าง ๆ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกเยอะ
เช่นเดียวกับละครเรื่องดัง
'บุพเพสันนิวาส' หรือ ละครออเจ้า ที่ทำให้พี่น้องคนไทยลืมปัจจุบันและปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าอยู่รายรอบตัว แต่ก็ลืมได้แค่ชั่วคราว แม้รัฐบาลจะให้เงินมาสร้าง (ละครย้อนยุค) ต่อ แต่ก็คงจะเฝือ ไม่อินเทรนด์ หรือ เป็นกระแส
'จุดติด' เหมือนตอนแรก ๆ อีกแล้ว ก็เหมือนการปกครองแบบขวาจัด ที่
'รัฐราชการ' มีอำนาจมาก ๆ แต่แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้พี่น้องคนไทยไม่ได้
เรื่องจริงที่เกิดขึ้น คือ การปกครองแบบเผด็จการขวาจัด ทำให้การส่งสินค้าไทยไปขายต่างประเทศมีปัญหา เมื่อขายของยาก พ่อค้าไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย หรือ เลี้ยงลูกน้อง เมื่อเกิดปัญหาไม่มีสภาพคล่อง พ่อค้าก็ต้อง
'เข้าพวก' หรือ วิ่งเข้าไปหานายทุนผูกขาดให้ช่วย จากนั้นก็เก็บเงินไว้เสียภาษีและจ่ายเป็นเบี้ยบ้ายรายทางให้ข้าราชการ เนื่องจากรัฐราชการไร้การตรวจสอบ ...
เมื่อเงินไม่เข้าไปใน 'ระบบ' หรือ วงจรเศรษฐกิจอย่างที่ควรจะเป็น ก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่มีเงินหมุนในระบบ ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง ไม่นับรวมหน่วยงานราชการที่กิน 'หัวคิว' ส่วนพ่อค้าก็เหลือเงินพออยู่รอด ไม่มีกำไรให้ขยายกิจการ ดูตัวอย่างผู้ว่าฯ ที่ออกมาให้ข่าวว่า เงินถึงผู้ปฏิบัติไม่เท่าไหร่?
แม้
'รัฐราชการ' จะพยายาม
'อัด' เงินจำนวนมหาศาล เพื่อให้เกิดการสร้างงาน ทั้งการก่อสร้างและการพัฒนาหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เงินเข้าไปในระบบ แต่เมื่อเงินไม่ไหลเข้าไปในระบบ ก็ย่อมแน่นอนว่า จะไม่มีเงินหมุนเวียนเกิดขึ้นในภาคประชาชน สุดท้ายก็เกิดภาวะเงินฝืด หรือ เศรษฐกิจตกสะเก็ดตามมา
เมื่อ "เกาไม่ถูกที่คัน" ก็อย่าหวังว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้พี่น้องคนไทยได้อย่างที่สัญญาไว้
……………….
คอลัมน์ : อยู่กับปัจจุบัน โดย พงษ์ศักดิ์ ศรีสด
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,355 วันที่ 8-11 เม.ย. 2561 หน้า 14
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
●
อยู่กับปัจจุบัน : โหด-ดิบและเถื่อน ว่าด้วยการบุกจับ ‘พุทธะอิสระ’
●
อยู่กับปัจจุบัน | รัฐบาล ‘ขาลง’ ... ‘บิ๊กตู่’ ใจต้องกล้าที่จะฝ่าข้ามไป