พาณิชย์ยัน! สงครามการค้าไม่กระทบเป้าส่งออก มั่นใจปีนี้ขยายตัว 9%
พาณิชย์ ยัน! สงครามการค้าไม่กระทบเป้าส่งออก เตรียมเรียกผู้ประกอบการถกก่อนปรับเป้าใหม่สัปดาห์หน้า มั่นใจ! ส่งออกปีนี้ขยายตัว 9% จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 8%
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 2 ขั้ว คือ จีนกับสหรัฐฯ นั้น ทำให้รูปแบบการค้าของโลกเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งไทยก็จำเป็นต้องปรับสินค้าตามความต้องการ หรือ อุปสงค์ที่เปลี่ยนไปด้วย โดยทางสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าจะนำผลศึกษาครั้งนี้เสนอไปยังกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายสามารถตอบสนองนโยบายการตลาดนำการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผลกระทบจากสงครามการค้า มีทั้งผลกระทบทางตรงและทางอ้อม โดยผลกระทบทางอ้อมต่อไทย คือ ไทยอาจได้รับประโยชน์ในการส่งออกสินค้าทดแทนในตลาดจีน/สหรัฐฯ เช่น การส่งออกเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ เช่น HDD เพื่อทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ หรือการส่งออกสินค้าเกษตรทดแทนสินค้าสหรัฐฯ ในตลาดจีน แต่อย่างไรก็ตาม ไทยอาจได้รับผลจากการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของจีนและสหรัฐฯ รวมถึงความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ และจีนต้องหาตลาดอื่นทดแทน ทำให้เกิดการระบายสินค้ามายังไทย หรือ ทำให้สินค้าไทยต้องแข่งขันสูงขึ้นในประเทศที่สาม
ในขณะที่ ผลกระทบทางตรงต่อไทยมีไม่มาก ซึ่งในภาพรวมการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ยังเติบโต เพราะในกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ มีมูลค่าส่งออกไม่มาก และสามารถกระจายไปตลาดใหม่ได้ไม่ยากนัก เช่น เครื่องซักผ้า โซลาเซลล์ เหล็กและอลูมิเนียม โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยไปสหรัฐฯ ลดลง ในเดือน พ.ค. 2561 เช่น เครื่องซักผ้า ลดลง 67 % และโซลาเซลล์ ลดลง 56%
สำหรับปัจจัยที่น่ากังวลในระยะสั้น คือ ราคาน้ำมันลดลง อาจทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงได้ แต่ก็ยังมั่นใจว่า ยอดส่งออกไทยในภาพรวมน่าจะขยายตัวได้ถึง 9 % หรือมูลค่าส่งออกต่อเดือนอยู่ที่ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนจะถึง 10% หรือไม่นั้น ต้องรอดูสถานการณ์การส่งออกในไตรมาส 3 ก่อน ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า กระทรวงพาณิชย์จะเชิญผู้ประกอบการส่งออกหารือสถานการณ์ ก่อนปรับเป้าหมายการส่งออกของประเทศใหม่
……………….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
● ราคาน้ำมันดิบผันผวน หลัง IEA เตือนอุปทานตึงตัว ขณะสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนยังคงระอุ
● ตลาดหุ้นฟื้นตัวคลายกังวลสงครามการค้า
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 2 ขั้ว คือ จีนกับสหรัฐฯ นั้น ทำให้รูปแบบการค้าของโลกเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งไทยก็จำเป็นต้องปรับสินค้าตามความต้องการ หรือ อุปสงค์ที่เปลี่ยนไปด้วย โดยทางสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าจะนำผลศึกษาครั้งนี้เสนอไปยังกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายสามารถตอบสนองนโยบายการตลาดนำการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผลกระทบจากสงครามการค้า มีทั้งผลกระทบทางตรงและทางอ้อม โดยผลกระทบทางอ้อมต่อไทย คือ ไทยอาจได้รับประโยชน์ในการส่งออกสินค้าทดแทนในตลาดจีน/สหรัฐฯ เช่น การส่งออกเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ เช่น HDD เพื่อทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ หรือการส่งออกสินค้าเกษตรทดแทนสินค้าสหรัฐฯ ในตลาดจีน แต่อย่างไรก็ตาม ไทยอาจได้รับผลจากการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของจีนและสหรัฐฯ รวมถึงความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ และจีนต้องหาตลาดอื่นทดแทน ทำให้เกิดการระบายสินค้ามายังไทย หรือ ทำให้สินค้าไทยต้องแข่งขันสูงขึ้นในประเทศที่สาม
ในขณะที่ ผลกระทบทางตรงต่อไทยมีไม่มาก ซึ่งในภาพรวมการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ยังเติบโต เพราะในกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ มีมูลค่าส่งออกไม่มาก และสามารถกระจายไปตลาดใหม่ได้ไม่ยากนัก เช่น เครื่องซักผ้า โซลาเซลล์ เหล็กและอลูมิเนียม โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยไปสหรัฐฯ ลดลง ในเดือน พ.ค. 2561 เช่น เครื่องซักผ้า ลดลง 67 % และโซลาเซลล์ ลดลง 56%
สำหรับปัจจัยที่น่ากังวลในระยะสั้น คือ ราคาน้ำมันลดลง อาจทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงได้ แต่ก็ยังมั่นใจว่า ยอดส่งออกไทยในภาพรวมน่าจะขยายตัวได้ถึง 9 % หรือมูลค่าส่งออกต่อเดือนอยู่ที่ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนจะถึง 10% หรือไม่นั้น ต้องรอดูสถานการณ์การส่งออกในไตรมาส 3 ก่อน ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า กระทรวงพาณิชย์จะเชิญผู้ประกอบการส่งออกหารือสถานการณ์ ก่อนปรับเป้าหมายการส่งออกของประเทศใหม่
……………….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
● ราคาน้ำมันดิบผันผวน หลัง IEA เตือนอุปทานตึงตัว ขณะสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนยังคงระอุ
● ตลาดหุ้นฟื้นตัวคลายกังวลสงครามการค้า
