บุกเซี่ยงไฮ้สัมผัสMG6 โมเดลเชนจ์1.5เทอร์โบ-ปลั๊กอินไฮบริด

11 ก.ค. 2561 | 12:47 น.
ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปร่วมอีเวนต์ Overseas Media Tour ของ SAIC (Shanghai Automotive Industry Corporation) ที่มหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน งานนี้เชิญนักข่าวประมาณ 30 ชีวิตจากทั่วโลกที่ SAIC มีธุรกิจอยู่

เมืองไทย SAIC ร่วมทุนกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ทำตลาด “เอ็มจี” และ “แม็คซัส” 2 แบรนด์เก่าแก่จากอังกฤษ แต่ในบางประเทศ เช่นบ้านใกล้เรือนเคียงเราที่มาทริปนี้เช่นกัน ทั้ง มาเลเซีย สิงคโปร์ มีขายแต่แม็คซัส ที่เป็นรถตู้ขนาดใหญ่

“ประเทศนาย MG6 นี่ทำตลาดอยู่ในระดับเดียวกับ BMW หรือเปล่า หรือในระดับเดียวกับฮอนด้า?” เพื่อนผู้สื่อข่าวจากสิงคโปร์ถามผม

YYX_0862 YYX_0869 ผมก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ถึงแม้ MG เป็นแบรนด์เก่าแก่จากอังกฤษ แต่ปัจจุบันทำตลาดระดับเดียวกับแบรนด์ญี่ปุ่น เน้นสมรรถนะที่แตกต่าง ออพชันมาเพียบ พร้อมความคุ้มค่า ส่วน MG6 โมเดลเชนจ์เจเนอเรชันที่ 2 (ที่จอดอยู่ตรงหน้าในขณะที่เรากำลังสนทนา) ในเมืองไทยยังไม่เปิดตัว ส่วนโฉมปัจจุบันที่ขายมาประมาณ 4 ปี และเป็นโมเดลแรกของ เอ็มจี เซลส์ ประเทศไทย ไม่ค่อยประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายมากนัก

ขณะที่เพื่อนผู้สื่อข่าวจากมาเลเซียอีกหนึ่งท่าน เริ่มเปิดบทสนทนาในการนั่งอยู่ภายใน MG6 ว่า “ทำไมภายในดูสวยลํ้าทันสมัย วัสดุอุปกรณ์ดูดีมากๆ และออกแนวมาสด้า”เลย

จากบทสนทนากับ 2 ผู้สื่อข่าวดังของทั้ง 2 ประเทศ (ที่ผมเจอกันบ่อยตามงานต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ) แสดงให้เห็นว่าพวกเขาจินตนาการบรรเจิด และมีการรับรู้ที่ดีมากเกี่ยวกับ MG หลังได้สัมผัส MG6 โมเดลเชนจ์

YYX_0514 YYX_0515 YYX_0517 YYX_0581 สำหรับ MG6 โมเดลเชนจ์ เปิดตัวในเมืองจีนตั้งแต่ที่แล้ว เริ่มทำตลาดด้วยรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5ลิตร เทอร์โบ จากนั้นตาม มาด้วยรุ่นปลั๊ก-อินไบริด (eMG6)

โดย MG6 โมเดลเชนจ์ ที่ทำตลาดเป็นตัวถังแบบฟาสต์แบ็ก (รุ่นปัจจุบันมีตัวถังซีดานด้วย) เมื่อพิจารณาจากมิติตัวถัง ที่ยาว 4,695 มม. กว้าง 1,848 มม. สูง 1,462 มม. ซึ่งใหญ่กว่าเดิมเกือบทุกมิติ ยกเว้นความสูงที่ลดลง ส่วนระยะฐานล้อขยับขึ้นเป็น 2,715 มม. จากปัจจุบันที่ยาว 2,705 มม.

ในส่วนของการทดสอบที่สนามเซี่ยงไฮ้ เทียนหม่า เซอร์กิต ทีมงาน SAIC เขาแบ่งเป็นหลายสถานี มีรถยนต์ เอ็มจี แม็คซัส สลับกันขับอย่างละนิดละหน่อย

แม้ผมจะมีเวลาอยู่กับ MG6 โมเดลเชนจ์น้อยไปสักนิด แต่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งจากแพลตฟอร์มใหม่ รูปลักษณ์ภายนอก-ภายใน รวมถึงการควบคุม และช่วงล่าง

โปรโมทแทรกอีบุ๊ก-6

บนตัวถังแบบฟาสต์แบ็กสีแดงแรงฤทธิ์ ส่งให้รถดูเข้มขลังมีพลังระดับหนึ่งอยู่แล้ว โดดเด่นด้วยไฟหน้าใช้หลอด LED ครบเซต กระจังหน้าลายกากเพชรเป็นจุดเล็กๆ (คล้ายๆเมอร์เซเดส-เบนซ์) ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ประกบยางบริดจสโตน ทูรันซ่า 225/45R18 ส่วนภายในโทนสีดำ-แดง ตกแต่งด้วยทริมต่างๆที่ดูทันสมัยมากขึ้น พร้อมจอทัชสกรีนขนาด 10 นิ้ว ควบคุมฟังก์ชันต่างๆของรถ  ตลอดจนซันรูฟและแพดเดิลชิฟต์เปลี่ยนเกียร์ที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ที่ MG6 ต้องมี

เมื่อผมไล่ดูสเปกยิ่งตื่นตาตื่นใจกับระบบความปลอดภัย เพราะนอกจากระบบเบรกต่างๆ และระบบควบคุมการทรงตัวที่เป็นมาตรฐานเดิมๆแล้ว MG6 รุ่นนี้ยังมีระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบจัดเต็ม ในระดับเดียวกับรถยุโรปราคาหลายล้านบาท ทั้ง ระบบเตือนการชน ระบบควบคุมความเร็วและรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ระบบรักษารถให้อยู่ในช่องทางการวิ่ง พร้อมกล้องรอบคันแบบ 360 องศา เรียกว่าขยับใกล้รถขับขี่อัตโนมัติเข้าไปทุกทีแล้วละครับ

ขณะที่การควบคุมและช่วงล่าง นุ่มกว่าโฉมปัจจุบันราวฟ้ากับเหว พวงมาลัยแบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าควบคุมสบายมือ พร้อมการรองรับที่ไม่เด้งสะท้านอีกต่อไป ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร เทอร์โบ 169 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ดูอัลคลัตช์ 7 สปีด ตอบสนองรวดเร็ว อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้  7.1 วินาที

...โดยรวมแล้วประทับใจบุคลิกที่ขยับมาทางความนุ่มเนียน ไม่สปอร์ตแข็ง พวงมาลัยหนักหน่วง เหมือนรุ่นปัจจุบันที่ขายในไทย

YYX_0802 YYX_0719 อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดว่า MG6 เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ยอดเยี่ยมแล้ว เจอ eMG6 ที่เป็นรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด เข้าไป กลายเป็นว่ายกระดับรถขึ้นไปอีกเพียบ ทั้งการตกแต่งภายใน ที่ไม่มีคันเกียร์แต่จะใช้เกียร์ไฟฟ้าใช้หมุนเลือกตำแหน่ง P R ND  (เหมือนจากัวร์-แลนด์โรเวอร์) หน้าจอแสดงผลแบบดิจิตอล ที่สำคัญยังมาพร้อมระบบ MG Pilot ควบคุมรถจากภายนอกผ่านสมาร์ทโฟน เช่นการควบคุมให้รถจอดในพื้นที่ที่กำหนด (โดยคนขับยืนควบคุมจากภายนอก) กลายเป็นว่า i-Smart ที่เริ่มใส่เข้ามาในรถยนต์ MG  ในบ้านเราเป็นแค่ของเล่นเด็กไปเลย

ส่วนเครื่องยนต์ใช้เบนซินบล็อกเล็กขนาด 1.0 ลิตรเทอร์โบ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 228 แรงม้า แรงบิด 622 นิวตัน-เมตร พร้อมเคลมว่ามีอัตราบริโภคนํ้ามันเพียง 66 กม./ลิตร ส่วนการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้งรถสามารถวิ่งด้วยพลังมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ได้ระยะทาง 53 กม.

...สถานการณ์ของเอ็มจีในเมืองจีนดีขึ้นเรื่อยๆครับ แม้ยอดขายยังน้อยเมื่อเทียบกับตลาดระดับ 28.9 ล้านคัน (ปี2560) ซึ่งปีที่แล้วเอ็มจีขายไป 1.4 แสนคัน (แต่โรวี่ที่หลายรุ่นพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกันขายดีกว่าเป็นเท่าตัว)

ส่วน MG6 โมเดลเชนจ์ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ ถือว่าได้การตอบรับดี โดยรุ่น 1.5 ลิตรเทอร์โบขายอยู่ประมาณ 1 แสนหยวน หรือประมาณ 5 แสนบาทไทย ส่วนรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด ราคาเริ่มต้น 1.7 แสนหยวน หรือ 8.5 แสนบาท ผมพิมพ์ตัวเลขไม่ผิดครับเพราะเป็นราคาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ทั้งเงินสมทบและภาษีสรรพสามิต

สำหรับเมืองไทย ต้องมาลุ้นว่า MG6 โมเดลเชนจ์ จะมาเมื่อไหร่และใช้ขุมพลังแบบไหน แต่ด้วยตลาดคอมแพกต์คาร์ ที่มีการแข่งขันสูงทั้งจาก โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส, ฮอนด้า ซีวิค และมาสด้า3 ขณะเดียวกันเทรนด์ยังขยับไปหาเอสยูวีเสียมาก (ระดับราคา 8 แสน- 1ล้านบาท) การทำตลาดของ MG6 โมเดลเชนจ์ ที่พัฒนามาเฉียบขาดบาดใจ ก็ยังไม่ง่ายครับ

โดย กรกิต กสิคุณ

หน้า 32-33 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,381 วันที่ 8 - 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว