ระยะเวลา 4 ปีเศษที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจพิเศษเข้ามาบริหารประเทศ ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ได้นำความสงบเรียบร้อยมาสู่บ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ยุติความขัดแย้งของคนในสังคมที่อาจนำไปสู่กลียุคของสงครามกลางเมือง
แต่การบริหารจัดการประเทศ ความสงบเรียบร้อยอย่างเดียวไม่พอ ผู้คนในสังคมต้องการความกินดีอยู่ดี เศรษฐกิจมีการเติบโตที่กระจายตัว ที่สำคัญกว่านั้น ผู้คนต้องการ “โอกาส” ในชีวิตที่ดีขึ้น
ไม่มีใครปฏิเสธว่า ที่ผ่านมาการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจของประเทศของทีมเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ทำงานได้ดีจนเศรษฐกิจไทยผงกหัวขึ้นมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่องมายืนที่ระดับ 3-4.1% ได้อย่างสง่างาม
มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นที่สะท้อนความมั่งคั่งของคนในประเทศขยายตัวขึ้นมาจากระดับ 13-14 ล้านล้านบาท มายืนที่ระดับ 16.1-17.58 ล้านล้านบาท
แต่ความร่ำรวยมั่งคั่งจากโอกาสของการพัฒนาประเทศเหล่านั้นจำกัดวงแคบแค่บรรดาเศรษฐีไม่กี่คน และว่ากันว่าบรรดามหาเศรษฐีในเมืองไทย 10-20 ตระกูลใหญ่ “วัฒนภักดี-เจียรวนนท์-จิราธิวัฒน์-วัฒนศิริประภา-ปราสาททองโอสถ-อัศวโภคิน-รัตนาวะดี-มาลีนนท์-โสภณพนิช-รัตนรักษ์”ฯลฯ นั้น ถือครองทรัพย์สินอยู่ถึง 80% เมื่อเทียบกับคนในชาติกว่า 70 ล้านคน
ข้อมูลธนาคารโลกระบุชัดถึงปัญหานี้ว่า ความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทยถือว่าสูงสุดประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครัวเรือนที่รวยที่สุด 20% มีรายได้ครัวเรือนเกินครึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
ดัชนีจีนี (Gini coefficient) ที่เป็นวิธีวัดการกระจายของข้อมูลทางสถิติอย่างหนึ่งที่นิยมใช้เป็นตัวบ่งชี้ความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้หรือการกระจายความร่ำรวย ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยนักสถิติชาวอิตาลีชื่อ คอร์ราโด จีนี ของรายได้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ 0.51 โดยครอบครัวรายได้น้อยและยากจนกระจุกอยู่ในภาคเกษตรกรรมอย่างมาก
ค่าสัมประสิทธิ์จีนีถูกนิยามให้เป็นอัตราส่วนซึ่งมีค่าระหว่าง 0 และ 1 สัมประสิทธิ์จีนีที่ต่ำจะแสดงถึงความเท่าเทียมกันในการกระจายรายได้ หากค่านี้สูงขึ้นจะบ่งชี้ถึงการกระจายรายได้ที่เหลื่อมล้ำกันมากขึ้น โดยสัมประสิทธิ์จีนีของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแตกต่างกันในช่วง 0.247 ในเดนมาร์ก และ 0.743 ในนามิเบีย
สะท้อนให้เห็นว่า ไทยยังมีปัญหาในเรื่องการกระจายรายได้ของครัวเรือนอย่างเห็นได้ชัด
โจทย์ใหญ่จึงอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะกระจายความมั่งคั่งลงไปยังคนไทยในระดับฐานรากให้กระจายมากขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้ “จนกระจาย รวยกระจุก” เช่นปัจจุบัน ที่เข็นกันอย่างไรก็มีคนได้จำกัดกลุ่ม แต่คนที่สูญเสียโอกาสกลับยืนหน้าสลอนกันทั่วเมือง
ผมเสนอว่า ไหน ๆ ประเทศไทยจะเข้าสู่โหมดของการเลือกตั้ง หาตัวแทนประชาชนมาบริหารประเทศกันในปีหน้าแล้ว นายกฯ ลุงตู่ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ต่างก็ประกาศตนจะเข้ามาบริหารจัดการประเทศ ทำไมจึงไม่กล้าประกาศให้คนไทยทั้งชาติรู้กันไปเลยว่า ใน 4 ปีข้างหน้าของการบริหารประเทศนั้น จะทำให้รายได้ต่อหัวต่อปี ก้าวขึ้นไปยืนเหนือระดับ 25,000 บาท/คน/ปี หรือตกปีละ 300,000 บาท ให้ได้
“พล.อ.ประยุทธ์”กล้ามั้ย “พ่อมาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”กล้ามั้ย พรรคเพื่อไทย จะเป็น “สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์-ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” กล้ามั้ย...!!!
นโยบายแบบนี้ ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ ถ้ามีกระบวนการจัดการ มีการบริหารงบประมาณ และมีการบริหารแผนงานโครงการลงทุนของประเทศอย่างเป็นระบบ
รัฐบาลใหม่ก็จะจัดสรรงบประมาณประเทศไปตอบโจทย์ว่า งบที่ทุ่มลงไปนั้นทำให้รายได้ของคนไทยดีขึ้นอย่างไร ถ้าไม่ตอบโจทย์ก็ลดความสำคัญลง ถ้าตอบโจทย์ก็ลงไปเลย ไม่มีใครว่า เพราะทุ่มงบลงไปแลกกับ รายได้ของคนในชาติที่ดีขึ้น
อีกทั้งรายได้ต่อหัวต่อคนของประชากรไทย 70 ล้านคน ที่ระดับ 25,000 บาท/คน/เดือน ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปแม้แต่น้อย
เพราะถ้าพิจารณาจากฐานข้อมูล ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในปี 2560 ซึ่งอยู่ที่ 15.4 ล้านล้านบาท หรือตกประมาณ 4.55 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น พบว่ารายได้ต่อหัวเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 228,371บาทต่อคนต่อปี หรือตกประมาณ 6,729 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี
อัตรานี้เพิ่มขึ้นมาจากปี 2559 ที่รายได้ของประชากรไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 215,454.6 บาทต่อคนต่อปี หรือตกประมาณ 6,103.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้นมาปีละ 12,917 บาท
ถ้าเพิ่มขึ้นปีละ 13,000 บาท ระยะเวลา 4 ปี ก็ตก 52,000 บาท หากนำฐานรายได้ต่อคนต่อปี ที่ยืนอยู่ในระดับ 228,371 บาท มาเป็นตัวตั้ง เท่ากับว่า คนไทยทั้งประเทศจะมีรายได้เฉลี่ยต่อคน 280,371 บาทต่อปี หรือตกประมาณ 23,364 บาท/คน/เดือน เข้าไปแล้ว
หากทำให้รายได้คนไทยเพิ่มขึ้นปีละ 15,000 บาท 4 ปีก็ตก 60,000 บาท นำฐานรายได้ปัจจุบันของคนไทยมารวมกันก็ตก 288,371 บาท/คน/ปี ตกเดือนละ 24,030 บาท เข้าไปแล้ว....
เดิมพันจากนโยบายทางการเมืองแบบนี้ ประกาศออกไปให้คนไทยได้รู้กันทั้งประเทศ จะได้มั้ย เพื่อคนไทยที่ต้องการแสวงหาโอกาส จะได้เลือกคนที่ใช่ พรรคที่ชอบได้ถูกต้อง....
ว่าแต่ลุงตู่ จะกล้ามั้ย กับการทำแบบนี้...
ผมว่าดีกว่าจะประกาศนโยบาย รถคันแรก เงินคนจน เติมเงินกองทุนหมู่บ้าน ขึ้นรถไฟฟรี เสียอีก เพราะคนไทยจะได้รู้ว่าอีก 4 ปี ข้างหน้า เขาจะมีรายได้เพิ่มขึ้นต่อคนเท่าไหร่ แม้ว่าตัวเม็ดเงินจะจ่ายไม่ถึงเขาทางตรง แต่รับประกันความกินดีอยู่ดีของคนในชาติได้ในอนาคต แบบเห็นฝั่งเห็นฝา
มิใช่มาประกาศเป็นยุทธศาสตร์ชาติแบบขายฝันว่า “ภายใน 20 ปี ข้างหน้าหรือปี 2580 จะทำให้คนไทยทั้งชาติมีรายได้มากกว่า 15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคนต่อปีหรือ 500,000 บาทต่อปี” ทำแบบนี้ ผมไม่รอจนเหงือกแห้งดอกจะบอกให้...ท่านนายกฯ
เรื่องแบบนี้ นโยบายทำนองนี้ ผมว่าคือทางรอดของประเทศที่ผู้นำจะต้องกล้าทำ กล้าคิด อย่าลืมว่าไทยเคยได้การรับรองจากธนาคารโลกมาแล้วว่า ประเทศไทยเป็น "นิยายความสำเร็จการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง" จากตัวชี้วัดทางสังคมและการพัฒนาแม้รายได้มวลรวมประชาชาติ (GNI) ต่อหัวจะต่ำแค่ 5,210-6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ประชากรที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนลดลงจาก 65.26% ในปี 2531 เหลือแค่ 13.15% ในปี 2554
ถ้าทำได้จะเป็นปูชนียบุคคลเลยแหละครับ....
| คอลัมน์ : ทางออกนอกตำรา
| โดย : บากบั่น บุญเลิศ
| หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ หน้า 6 ฉบับ 3380 ระหว่างวันที่ 5-7 ก.ค.2561