ตลาดรถบรรทุกปี 59 เนื้อหอม ผู้ผลิตงัดกลยุทธ์หวังโกยยอดทะลุเป้า

06 ก.พ. 2559 | 11:00 น.
อานิสงส์เออีซี -โครงการจากภาครัฐ ส่งผลให้ตลาดรถบรรทุกปีวอกคึกคัก "ทาทา" เล็งขึ้นไลน์ประกอบแบรนด์ทาทา แดวู ด้านวอลโว่ ทรัคส์ และยูดี ทรัคส์ ผุดโชว์รูมและศูนย์บริการรองรับ สแกนเนียส่งแคมเปญลุ้นเงินแสน ส่วนค่ายอีซูซุ เปิดบริษัทใหม่ R&D รถบรรทุกขนาดกลาง-ขนาดใหญ่

นาย ซานเจย์ มิชรา กรรมการผู้จัดการบริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทกำลังศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการขึ้นไลน์ประกอบรถบรรทุกแบรนด์ทาทา แดวู โดยเบื้องต้นอาจจะประกอบในรุ่น 6 ล้อและ 10 ล้อ ส่วนรุ่นอื่นๆ แม้ว่าจะเสียภาษีไม่สูง แต่หากประกอบในประเทศได้ ก็เป็นการลดต้นทุกการขนส่ง ซึ่งการขึ้นไลน์ประกอบในครั้งนี้ยังไม่ได้สรุปว่าจะเป็นการประกอบจากโรงงานธนบุรีซึ่งเป็นพันธมิตรกับบริษัทอยู่แล้ว หรือจะจับมือกับพันธมิตรรายอื่นๆหรือไม่อย่างไร แต่คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปี 2560

"ปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของตลาดรถประเภทนี้คือการเปิดเออีซี ซึ่งหากมีการเปิดแบบเป็นรูปธรรมก็จะทำให้การขนส่งหรือการขนถ่ายสินค้าข้ามพรมแดนมีมากขึ้น และรถกลุ่มนี้จะได้รับอานิสงส์ดังกล่าว โดยเบื้องต้นเราจะมีการนำเข้ารถมาจากเกาหลี เพราะภาษีนำเข้าไม่สูง บางตัว 0% อาทิ รถผสมปูน ส่วนรถหัวลาก ภาษีนำเข้า 16% ส่วนรุ่นอื่นๆ 6 ล้อ หรือ 10 ล้อ ภาษีนำเข้า 40% "

ปัจจุบันตัวเลขของตลาดรวมรถบรรทุกหรือรถเพื่อการพาณิชย์ในปีที่ผ่านมามีประมาณมียอดขายประมาณ 2.4 – 2.5 หมื่นคัน อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปีนี้เริ่มส่งสัญญาณที่ดี และคาดว่าตลาดจะเติบโตประมาณ 10-15% หรือคิดเป็นจำนวน 2.7 – 3 หมื่นคัน โดยบริษัทมีการนำเข้ารถมาจากเกาหลี 2 รุ่นได้แก่ แดวู โนวัส เอสอี (Daewoo Novus SE) และรถผสมปูน แดวู โนวัส มิกเซอร์ (Daewoo Novus Mixer) และตั้งเป้าหมายยอดขายรถแบรนด์ทาทา แดวู 500 คัน หรือคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 5%

นาย เคเค คิม ประธานบริษัท ทาทา แดวู คอมเมอร์เชียล วีฮีเคิล ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี เปิดเผยว่า การแข่งขันของรถบรรทุกในเกาหลีมีทั้งผู้เล่นที่เป็นญี่ปุ่น , เกาหลี รวมถึงแบรนด์ต่างๆ ซึ่งถือว่ามีผู้เล่นอยู่เป็นจำนวนมาก แต่บริษัทสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 เนื่องจากความสามารถในการบรรทุกที่มากกว่า เพราะแบรนด์ญี่ปุ่นมีการทำตลาดในรุ่น 20 ตัน แต่ทาทา แดวู สามารถผลิตรถเพื่อรองรับกับการขนส่งได้ 40 ตัน ซึ่งถือว่ารองรับน้ำหนักได้สูงมาก และตอบโจทย์กับการขนส่งสินค้า ทำให้ลดต้นทุนและยังขนสินค้าได้มากกว่า ส่วนการเข้ามารุกในตลาดประเทศไทยในครั้งนี้ บริษัทก็จะใช้จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ รวมไปถึงมีการยกระดับมาตรฐานโชว์รูมและศูนย์บริการที่มีคุณภาพเทียบเคียงกับที่เกาหลี ซึ่งในเบื้องต้นโชว์รูมและศูนย์บริการของทาทา แดวู จะมีจำนวนทั้งสิ้น 13 แห่งและในปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก 13 แห่ง

นางสาววิลาวัลย์ วิศปาแพ้ว รองประธานฝ่ายการตลาดและสนับสนุนการขาย บริษัท วอลโว่ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การเข้าสู่เออีซีมีผลต่อธุรกิจภาคขนส่งสินค้าผ่านพรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งไทยได้เปรียบเนื่องจากทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลางของประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนที่จะเชื่อมไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีน ที่เป็นตลาดใหญ่ของกลุ่มประเทศในแถบเออีซี

สำหรับวอลโว่ กรุ๊ป เล็งเห็นจุดแข็งดังกล่าว และเตรียมจะสนับสนุนผู้ประกอบการภาคขนส่งทั้งประเทศและเพื่อนบ้าน ด้วยการขยายเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายและศูนย์บริการ โดยปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 15 สาขาและ1ไพรเวต ดีลเลอร์ นอกจากนั้นแล้วยังมีผู้นำเข้าที่แต่งตั้งโดยวอลโว่ กรุ๊ป ในประเทศต่าง ๆ รอบประเทศไทยได้แก่เมียนมา เวียดนาม ลาว กัมพูชา

"การเปิดเออีซี จะทำให้ผู้ประกอบการของเรามีการพัฒนาศักยภาพเพื่อให้มีความได้เปรียบ เนื่องจากไทยเรามีจุดเด่นด้านการขนส่งทางบก อีกทั้งทำเลอยู่ใจกลางของประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นเมียนมา ,ลาว ,มาเลเซีย ,กัมพูชา ซึ่งเราสามารถเป็นตัวกลางในการขนส่งสินค้าเหล่านี้เพื่อไปประเทศต่างๆ ได้ และวอลโว่ก็สร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการขนส่งที่ใช้รถของเรา ด้วยการลงทุนกว่า 3 พันล้านในการขยายเครือข่าย ซึ่งการลงทุนของเราก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมให้บริการ"

นาวสาววิลาวัลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากปัจจัยทางด้านเออีซีแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อตลาดรถบรรทุกในปีนี้คือ โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคจากภาครัฐ ,โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ จาก 2 ปัจจัยหลักนี้ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่าตลาดรถบรรทุกในปีนี้จะกลับมา หลังจากปีที่ผ่านมาตัวเลขการขายของตลาดรถบรรทุกรวมหดตัวลงกว่า 20% อย่างไรก็ตามยอดขายของวอลโว่ ทรัคส์ ทำได้ 504 คัน ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น และถือเป็นตัวเลขที่ลดลงน้อยกว่าตลาด ขณะที่แบรนด์ยูดี ทรัคส์ ที่มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ในช่วงปลายปีถึง 15 รุ่น สามารถสร้างยอดขายสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ด้วยจำนวน 512 คัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2557 ที่มียอดขาย 250 คัน

ด้านนายภูริวัทน์ รักอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการประจำภูมิภาค บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดรถบรรทุกในปี 2559 เริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลโดยรวมต่อตลาดรถยนต์ และรถบรรทุกรถขนส่ง นอกจากนั้นแล้วการลงทุนและโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐฯ จะเริ่มเป็นรูปธรรมในปีนี้ ทั้งการก่อสร้างรถไฟรางคู่ , การก่อสร้างรถไฟฟ้า 4 เส้นทาง สายสีชมพู สายสีเหลือง สายสีส้ม และ สายสีม่วงใต้ รวมไปถึง การก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์สายใหม่ และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณพื้นที่ชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน

"หลายปัจจัยมีผลบวกต่อตลาดรวมรถบรรทุก ทำให้มีความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันที่ลดลงทำให้ต้นทุนด้านเชื้อเพลิงต่ำ ก็ช่วยให้ผู้ประกอบการเริ่มหันมาพิจารณารถบรรทุกที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น"

นายภูริวัทน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สแกนเนียเตรียมกลยุทธ์การตลาดด้วยการส่งกิจกรรมเชิงรุก "ท้าประลองขับ ประหยัดน้ำมัน รับ 1 แสนบาท" โดยจะเป็นการทดสอบการใช้งานรถบรรทุกสแกนเนียในสภาพการใช้งานจริง บนพื้นที่ถนนจริง และ น้ำหนักที่ใช้ในการขนส่งจริง ทั้งประเภทรถบรรทุกขนส่งสินค้า รถบรรทุกขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ และ รถบรรทุกขนส่งน้ำมัน ในรุ่น P 360 LA6X2MSZ, P 410 LA6X2MSZ, P 410 LA6X2MNA และ P 410 LA6X4MSZ โดยผู้ประกอบการสามารถนำรถเข้ามาทดสอบได้ หรือในกรณีที่ผู้ประกอบการไม่มีรถของสแกนเนียก็สามารถส่งนักขับมาทดสอบกับรถที่บริษัทได้จัดเตรียมไว้ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวสมัครได้ตั้งแต่ วันนี้ - 31 มีนาคม 2559

นางปนัดดา เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์อีซูซุ เปิดเผยว่า ตลาดรวมรถบรรทุกมีประมาณ 3 หมื่นคันต่อปี และอีซูซุมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 49% ซึ่งแนวโน้มรถในกลุ่มนี้จะมีการเติบโตต่อเนื่อง เพราะมีการเปิดเออีซี ดังนั้นอีซูซุจึงมีการตั้งบริษัท อีซูซุ โกลบอล ซีวี เอ็นจิเนียริ่ง โดยบริษัทใหม่จะทำการวิจัยและพัฒนารถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่เพื่อรองรับกับความต้องการที่มากขึ้นในอนาคต

"ประเทศไทยได้เปรียบเรื่องทำเลที่ตั้ง เพราะอยู่ตรงกลาง และเมื่อมีการเปิดฟรีโซนก็จะมีการขนส่งมากขึ้น รถบรรทุกก็จะมีบทบาทสำคัญ ดังนั้นอีซูซุจึงมีการก่อตั้งบริษัทขึ้นใหม่ใหม่เพื่อทำการพัฒนาวิจัยและผลิตรถบรรทุก ซึ่งจะป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศ"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,128 วันที่ 4 - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559