ทยอยเก็บหุ้นพื้นฐานดี ฉวยจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้นเหมาะสะสมหุ้นแบงก์ - ค่าพี/อีตลาดลดลงตํ่าสุดรอบ 2 ปี

17 ก.ค. 2561 | 08:57 น.
บล.เอเซียพลัสฯ แนะสะสมหุ้นแบงก์รับประโยชน์ดอกเบี้ยขาขึ้น บลจ.ทาลิสฯ ชี้หุ้นไทยผันผวนระยะสั้น เหมาะลงทุนระยะยาว P/E ตํ่าสุดรอบ 2 ปี ซุปเปอร์เทรดเดอร์แนะเล่นไม่เกิน 10% ของพอร์ต ทิสโก้แนะ “ทยอยซื้อ”

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงภาวะตลาดหุ้นในปัจจุบันว่ามีปัจจัยที่กดดันในเรื่องเงินทุนไหลออก เนื่องจากส่วนต่างดอกเบี้ยของไทยกับสหรัฐฯที่กว้างขึ้น ดอกเบี้ยสหรัฐฯขึ้นไปสูงกว่าดอกเบี้ยไทย นอกจากนี้ยังมีตัวกระตุ้นให้เงินทุนไหลออกรุนแรงขึ้นจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้เชื่อว่าอัตราการลดลงของดัชนีตลาดหุ้นจะค่อยๆน้อยลง เนื่องจากปัจจัยต่างๆไม่ได้กระทบต่อผลการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯราคาหุ้นที่ถูกลงทำให้มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (PE Ratio) ลดลงเหลือประมาณ 15 เท่า mp17-3377-a

นายเทิดศักดิ์ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง การปรับประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น และการที่ กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด อย่างไรก็ตามในเชิงกลยุทธ์ในช่วงนี้การทำกำไรทำได้ยากในตลาดหุ้น ภาวะในช่วงนี้เหมาะกับเงินเย็นคือเงินลงทุนระยะยาวมากกว่า เป็นโอกาสในการสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี

ในภาวะที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น แนะนำให้สะสมหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะได้ประโยชน์ อย่างธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และทุนธนชาต (TCAP) แม้ผลประกอบการในไตรมาส 2 จะชะลอตัวลงจากการลดค่าธรรมเนียม แต่ก็สะท้อนออกมาในราคาหุ้นค่อนข้างมากแล้ว นอกจากนี้ บล.เอเซียพลัสฯแนะนำหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่จะได้ประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุน อาทิ AMATA, WHA

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทาลิส จำกัด มองปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย มาจากประเด็นสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อีก 2 ครั้ง ซึ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบเชิงลบต่อค่าเงินของตลาดเกิดใหม่ ทำให้เงินลงทุนในตลาดเกิดใหม่ต่างๆ เกิดการไหลออกอย่างต่อเนื่อง

ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนหากอยู่ในวงจำกัด ตลาดหุ้นจะซึมซับสถานการณ์ไปได้เอง ยกเว้นแต่สงครามการค้าบานปลายมากขึ้น ตลาดหุ้นอาจจะได้รับผลกระทบเชิงลบในระยะกลางและระยะยาว

ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงจนในขณะนี้ค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยตํ่าที่สุดในรอบ 2 ปี เป็นโอกาสดีของนักลงทุนระยะยาวที่ได้ซื้อหุ้นในราคาถูก แต่ระยะสั้นเชื่อว่าตลาดยังผันผวนจนถึงเดือนหน้า

S-Social

นายกระทรวง จารุศิระ ประธานกรรมการกลุ่ม บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ โฮลดิ้งฯ แนะนำว่า ช่วงนี้ให้รอดูสถานการณ์ ถ้าจะเทรด อย่าเทรดเกินวงเงิน 10% ของพอร์ต โดยระบุว่าตลาดหุ้นรอบนี้ลงหนักมาก ใช้เวลาประมาณ 7 วัน ลงไปถึง 100 จุด โดยตนได้ใช้กลยุทธ์เลือกซื้อหุ้นใหญ่ที่แข็งแรงกว่าตลาด และเทรดไม่เกิน 10% ของพอร์ต โดยมองว่าสภาวะที่ตลาด Correction (ปรับตัวลง)แรงๆแบบนี้เกิดขึ้นอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 1 ปี ตามสถิติ ดังนั้นสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ นี่เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรที่ต้องตื่นเต้นตกใจ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ SET ลงไปมากกว่านี้ เพราะยิ่ง SET ลงมากเท่าไร ก็เป็นโอกาสเก็บหุ้นดีๆราคาถูกมากขึ้น ที่สำคัญคือต้องรักษาเงินต้นไว้ให้ดี เพื่อรอช้อนซื้อของถูกในอนาคต

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ระบุว่าแม้ความขัดแย้งทางการค้าโลกดูเหมือนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ จนอาจเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดผันผวน แต่เชื่อว่าความขัดแย้งดังกล่าว จะไม่ลุกลามไปจนเป็นสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบ เพราะมาตรการกีดกันทางการค้าที่กำลังมีการตอบโต้กันในปัจจุบันนั้น มีขนาดไม่ใหญ่มาก และไม่น่าส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง

ตลาดหุ้นไทย ภาพรวมยังคงมีแรงกดดัน จากความกังวลด้านการค้าโลก ประกอบกับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จนจุดชนวนให้เกิดเงินทุนไหลออก และกระทบต่อหุ้นไทยได้ อย่างไรก็ตามหากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในระยะสั้น แนะนำให้ “ทยอยซื้อ”
e-book-1-503x62 หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,377 วันที่ 24-27 มิถุนายน 2561