บลจ.ยูโอบีแนะกองทางเลือก ผลตอบแทนดีลดเสี่ยงหุ้น-ตราสารหนี้ผันผวน

12 ก.ค. 2561 | 04:34 น.
บลจ.ยูโอบีฯแนะกลยุทธ์ลงทุน ช่วงตลาดหุ้น ตราสารหนี้ผันผวน ลงทุนทางเลือก ทั้งกองอสังหาริมทรัพย์-REIT สร้างผลตอบแทนสมํ่าเสมอ ไม่อิงกับตลาดชี้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนไม่กระทบไทยโดยตรง แต่ต้องจับตาทีท่า “ทรัมป์” อาจก่อสงครามการค้ารุนแรงขึ้น


[caption id="attachment_297255" align="aligncenter" width="503"] วนา พูลผล วนา พูลผล[/caption]

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย)ฯเปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาสนี้ ซึ่งเข้ากับสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นผันผวนและตลาดตราสารหนี้ได้รับแรงกดดันจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น บริษัทแนะนำให้ลงทุนในทางเลือกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนที่ลงทุนในอสังหา ริมทรัพย์ หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ต่างๆที่ให้ผลตอบแทนดี เงินปันผลสมํ่าเสมอและราคาไม่แกว่ง เพราะไม่เกี่ยวกับตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้

อีกประเภทคือ กองทุนที่ใช้กลยุทธ์ Long-Short ซึ่งไม่เกี่ยวกับภาวะตลาดหรือเกี่ยวกับภาวะตลาดน้อยมาก ผู้จัดการกองทุนสามารถหาผลตอบแทนได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง เป็นการบริหารจัดการกองทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนโดยไม่อิงกับภาวะตลาดหุ้น ซึ่งหากผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นได้ถูก จะทำกำไรได้พอสมควร เพราะบริษัทเองมีกองทุนที่เป็น Absolute Long-Short 100% ลงทุนในหุ้นทั่วโลก สามารถสร้างผลตอบแทนใน 1 ปีได้ถึง 6-7% เพราะปิดความเสี่ยงจากการ Long-Short 100% ไว้แล้ว MP19-3377-A

ด้านนายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และสื่อสารองค์กร สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย)ฯ กล่าวว่า บริษัทระมัดระวังในการลงทุนอยู่แล้ว โดยทยอยเพิ่มสัดส่วนเงินสดมาระยะหนึ่ง ก่อนที่ดัชนีจะหลุด 1700 จุด ปัจจุบันกองหุ้นไทยถือเงินสดเฉลี่ย 10% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ซึ่งถือว่ามากและสะท้อนว่า บริษัทมองตลาดขาลง เพราะปกติกองทุนจะไม่ถือเงินสดไว้ ขณะที่กองทุนผสมถือเงินสดมากกว่า 10% และการปรับพอร์ตช่วงนี้ไม่ได้เป็นการเพิ่มเงินสดหรือขายตามตลาด แต่เป็นการเปลี่ยนตัวลงทุนมากกว่า

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นมองว่า ยังผันผวนต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3 แต่การปรับลดลงของหุ้นทั่วโลก เริ่มเห็นโอกาสในการลงทุน ดังนั้นจึงยังให้นํ้าหนักในตลาดหุ้น เพราะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ลดนํ้าหนักในตราสารหนี้ลง เพราะตราสารหนี้ยังเห็นแรงกดดันจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งนำโดยสหรัฐฯและในตลาดเกิดใหม่บางประเทศโดนกดดันให้ปรับดอกเบี้ยขึ้นตาม ดังนั้นผลตอบแทนจากตราสารหนี้ก็จะถูกกดดันด้วย แต่ก็ไม่ได้ลดนํ้าหนักในตราสารหนี้ลงมากนัก เพราะถือว่า ได้รับรู้จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปพอสมควรแล้ว

[caption id="attachment_297253" align="aligncenter" width="503"] วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์[/caption]

“โดยมองระยะสั้นในช่วง 2-3 เดือน แนะนำลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดี ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็ก แม้ราคาถูก แต่ยังไม่ใช่ขาขึ้น แต่ทยอยเก็บสะสมระยะยาวได้ โดยปัจจัยที่ต้องจับตาคือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 หากออกมาดีตามที่คาดการณ์จะส่งผลให้ตลาดมีความมั่นใจมากขึ้น และเชื่อว่าทั้งปี กำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 9-10% ตามคาดการณ์ได้”

ปัจจัยที่ต้องติดตามและตลาดไม่สามารถคาดการณ์และมองว่าเป็นความเสี่ยงต่อการลงทุนคือ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐฯที่อาจจะประกาศขึ้นภาษีที่รุนแรงขึ้น แม้การขึ้นภาษีสินค้าจีนของสหรัฐฯรอบแรกยังไม่กระทบต่อไทยมากนัก

……………….……………….

หน้า 19 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,377 วันที่ 24-27 มิ.ย. 2561 e-book-1-503x62