การสื่อสารระหว่าง 'สมองมนุษย์' กับ 'คอมพิวเตอร์'

19 มิ.ย. 2561 | 11:23 น.
ระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI ที่พูดถึงกันมากในทุกวันนี้ ยังไม่ได้สะท้อนรูปแบบการคิด หรือ การตัดสินใจที่แท้จริง จากสมองของมนุษย์ แต่เป็นการจำลองเงื่อนไขว่า ถ้าหากเกิดสิ่งนี้ให้ทำแบบนี้ และเรียนรู้จากรูปแบบเพื่อทำซ้ำ หรือ ทำสิ่งที่แตกต่างไปในครั้งถัด ๆ ไปเท่านั้น แต่ภายใน 10 ปีข้างหน้า เทรนด์ของเทคโนโลยีจะพัฒนาไปสู่การติดต่อสื่อสารระหว่างคลื่นสมองของมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ (Brain-Computer Interface) หรือ BCI เพื่อควบคุมสมองเทียมอิเล็กทรอนิกส์ของ AI ทำให้ AI ฉลาดขึ้น มีความคิดความอ่าน อารมณ์ และความรู้สึกทัดเทียมมนุษย์มากขึ้น

BCI เป็นศาสตร์ที่ผสมผสานความรู้ในเรื่อง คอมพิวเตอร์ ไฟฟ้าเคมี ระบบประสาทและสรีรวิทยา เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้สมองของมนุษย์กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมประสานกันและสื่อสารกันได้ ไม่ว่าจะเป็น การสื่อสารทางเดียว หรือ การสื่อสาร 2 ทาง ซึ่งจะนำไปสู่นวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การเชื่อมระบบประสาทเข้ากับอวัยวะเทียม ช่วยให้สมองที่ยังดีอยู่ของคนที่เป็นอัมพาตสามารถถ่ายทอดออกคำสั่งไปยังแขนกล หรือ อุปกรณ์ช่วยเดิน และการเชื่อมระบบประสาทกับเทคโนโลยี ที่ให้สัมผัสความรู้สึกในการเข้าสู่โลกเสมือนจริง (Virtual Reality หรือ VR) โดยไม่ได้จำลองเพียงภาพและเสียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประสาทสัมผัสรับรู้ถึงแรงป้อนกลับ หรือ อุณหภูมิจาการสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ในโลกเสมือนจริงที่สร้างขึ้น รวมทั้งการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจิต คือ การรับรู้ (Recognition) กับกระบวนการคิดภายในสมอง ซึ่ง เรย์มอนด์ เคิร์ซวีล (Raymond Kurzweil) นักทำนายอนาคตคนสำคัญของโลก ได้เคยคาดการณ์ไว้ว่า ภายในปี ค.ศ. 2045 มนุษย์จะสามารถอัพโหลดข้อมูลจากสมองไปเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ และหลังจากนั้นจะเชื่อมต่อสมองกล ซึ่งรวมถึงการรับรู้ทางจิตเข้ากับร่างกายคนได้จริง ๆ

ปัจจุบันนี้ มีหลายหน่วยงานกำลังพัฒนา BCI ให้สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เช่น หน่วยงานวิจัย Building 8 ของ Facebook มีโครงการชื่อ "Brain-Computer Speech-to-Text Interface" ที่จะแปลความคิดในสมองของมนุษย์ให้สามารถสั่งการไปยังคอมพิวเตอร์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องพูด หรือ ใช้การสัมผัสใด ๆ โดยเป้าหมายแรก คือ การทำให้มนุษย์สามารถสั่งพิมพ์ข้อความโดยตรงจากสมอง ซึ่งจะเร็วเป็น 5 เท่าของการพิมพ์ด้วยนิ้วมือ และจะพัฒนาให้มนุษย์สามารถใช้ความคิดพิมพ์ข้อความได้ถึง 100 คำต่อนาที นอกจากเรื่องของการใช้สมองสั่งงานเพื่อการพิมพ์แล้ว อีกหนึ่งแผนการของ Facebook ระบุว่า เทคโนโลยีที่ว่านี้ จะทำหน้าที่เสมือนอวัยวะส่วนหนึ่งของหู ที่จะเปลี่ยนเสียงให้กลายเป็นคลื่นความถี่ ก่อนจะส่งไปยังสมองและแปลงรหัสให้กลายเป็นเสียงเพื่อการได้ยิน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้พิการหูหนวก ขณะที่ บริษัทรถยนต์ 'นิสสัน' ก็ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ ที่เรียกว่า Brain to Vehicle (B2V) โดยใช้ระบบ BCI ตรวจจับคลื่อสมองของคนขับรถ และให้รถยนต์เดาสิ่งที่ผู้ขับกำลังจะทำ หากตรวจจับได้ว่า กำลังจะหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้าย ระบบก็จะหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายให้ก่อนที่มือของผู้ขับจะขยับพวงมาลัยประมาณเสี้ยววินาที

การบริหารทรัพยากรบุคคลในองค์กรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เมื่อการสื่อสารระหว่างสมองของมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ (Brain-Computer Interface) กำลังกลายเป็นจริง สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในด้านบวก เช่น ผลิตภาพ (Productivity) ในงานธุรการที่เพิ่มขึ้น เช่น การพิมพ์เอกสาร สำหรับการบริหารและถ่ายทอดองค์ความรู้ โดยเฉพาะที่เป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏชัดแจ้ง แต่ฝังอยู่กับตัวบุคคล (Tacit Knowledge) จะไม่สูญหาย สามารถเก็บรักษาไว้ได้ในสมองเทียมอิเล็กทรอนิกส์ ในเรื่องการบริหารผลงาน (Performance Management) พนักงานที่ฝัง Smart Chip ไว้ในสมอง เพื่อเชื่อมต่อกับสมองเทียม จะมีผลงานดีกว่าพนักงานทั่วไป ซึ่งในที่สุด องค์กรอาจต้องให้การฝัง Smart Chip เป็นสวัสดิการที่เบิกได้ เช่นเดียวกับการเบิกค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น

ความพยายามในการทำให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ 'คิด' และ 'ตัดสินใจ' ในรูปแบบเดียวกับที่สมองของมนุษย์คิดและตัดสินใจมีความก้าวหน้าไปมาก มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้ง Facebook เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "ผมเชื่อว่า วันหนึ่งเทคโนโลยีจะทำให้เราติดต่อสื่อสารกันผ่านความคิดได้ คุณแค่คิดอะไรออกมา แล้วเพื่อนคุณก็จะสัมผัสประสบการณ์ได้ (แบบเดียวกับคุณ) หากคุณอนุญาต" ที่น่าสนใจกว่าคำพูดของมาร์ก ก็คือ โลกเราพร้อมสำหรับเทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์แล้วหรือยัง เพราะเมื่อเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาและใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพ เราจะไม่มีวันหันหลังกลับไปสู่โลกใบเดิมได้อีกเลย


……………….
บทความ โดย ดร.ณัฐวุฒิ พงศ์สิริ ([email protected])

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
IBM โชว์เหนือ! 'ซัมมิท' ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ทรงพลัง-เร็วสุดในโลก
โรคยอดฮิต! ติดเชื้อกระจกตาจากคอนแทคเลนส์และโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม


e-book-1-503x62