การทำงานและการใช้ชีวิตที่ไร้เส้นแบ่ง

18 มิ.ย. 2561 | 09:29 น.
ผลการศึกษาโดยสถาบันวิจัย The Stanford Life Design Lab ในสหรัฐอเมริกา พบว่า ในแต่ละช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ควรประกอบไปด้วยการสร้างสมดุลใน 4 ส่วน คือ Work (การทำงาน) , Health (การดูแลรักษาสุขภาพ) , Love (การอยู่กับคนที่เรารักและห่วงใย) และ Play (การทำสิ่งที่เราชอบนอกเหนือจากงาน) อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง เราอาจจะให้เวลาในแต่ละส่วน ในแต่ละช่วงของชีวิต ไม่เหมือนกัน เช่น ตอนที่ยังหนุ่มสาว เราอาจใส่ใจในสุขภาพ (Health) ได้ไม่มากเท่าตอนที่มีอายุมากขึ้น หรือ ช่วงที่ยังโสด ก็อาจจะให้เวลากับกิจกรรม (Play) ได้มากกว่าหลังจากแต่งงานแล้ว ซึ่งมีภาระต้องดูแลคนในครอบครัว (Love) เป็นต้น

นอกจากนั้น ความก้าวหน้าของระบบสารสนเทศและการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต ทำให้ทุกคนสามารถทำงานได้ โดยไม่จำกัดสถานที่และเวลา เทคโนโลยีช่วยเชื่อมต่องานและชีวิตส่วนตัวให้เกี่ยวพันกัน จนแทบจะแยกไม่ออก ทำให้การสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิต (Health-Love-Play) และการทำงาน (Work) เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ปัญหาที่ตามมาจาการขาดสมดุล คือ ความล้าและความเครียดทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เวลาที่ให้กับตนเองและครอบครัว รวมทั้งโอกาสในการเข้าสังคมน้อยลง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เนื่องจากขาดการพักผ่อน จึงเกิดแนวคิดในการผนวกการทำงานให้หลอมรวมเข้ากับการใช้ชีวิตส่วนตัว ไม่พยายามแยกเพื่อสร้างสมดุล (Work-Life Balance) แนวคิดการทำงานและการใช้ชีวิตที่ไร้เส้นแบ่งนี้ เรียกว่า Work-Life Integration หรือ Work-Life Blended

Work-Life Integration เป็นการผสานการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวให้เกิดขึ้นแบบ "ไร้รอยต่อ" ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น นั่งทำงานที่บ้าน ร้านกาแฟ หรือ สถานที่แบบ Co-Working Space พร้อมกับประชุมงานผ่าน Video Call ไปด้วย เทคโนโลยีดิจิตอลในปัจจุบัน ช่วยให้เราสามารถปรับรูปแบบการใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ กำหนดตารางเวลาสิ่งที่ต้องทำได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น จากที่องค์กรเคยช่วยพนักงานสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและทำงาน (Work-Life Balance) จึงเริ่มปรับเปลี่ยนสู่ Mode การทำงานแบบผสมผสาน Work+Leisure หรือ 'Weisure' ให้สอดรับกับพนักงานรุ่นใหม่ที่เป็นพวกดิจิตอลนอแมด (Digital Nomad) หรือ กลุ่มคนที่เดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกับทำงานไปด้วย

แนวคิดการทำงานแบบผสานงานกับการใช้ชีวิตเข้าด้วยกัน (Work-Life Integration) มาพร้อมกับอิสรภาพและความยืดหยุ่นในการที่จะสลับไปมาระหว่างความต้องการที่จะทำงานและการใช้เวลาส่วนตัว จึงต้องได้รับการสนับสนุนจากองค์กร เช่น การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์เชื่อมต่อการทำงานที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน การกำหนดตารางเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นสำหรับบางหน้าที่ บางตำแหน่ง ให้สามารถทำงานจากที่บ้านได้ รวมทั้งการใช้ตัวชี้วัดผลสำเร็จ หรือ Key Performance Indicator (KPI) ที่เน้นผลลัพท์ของงานมากกว่ากระบวนการทำงาน ตัวอย่างขององค์กรที่นำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ เช่น Airbnb ที่ให้บริการแบ่งปันที่พักอาศัยที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลก ได้ให้เงินพนักงาน 2,000 ดอลลาร์ เพื่อไปพักผ่อนในที่พัก Airbnb ที่ใดก็ได้ในโลก ซึ่งพนักงานนอกจากจะได้พักผ่อนแล้ว ยังมีโอกาสศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคเพื่อนำไปเป็นข้อมูลปรับปรุงบริการควบคู่ไปด้วย

การผสานงานกับการใช้ชีวิตเข้าด้วยกัน (Work-Life Integration) จึงเป็นการกำหนดเป้าหมายสำหรับการใช้เวลาในแต่ละส่วน ทั้ง Work / Health / Love / Play ในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตของเราให้เหมาะสม ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของการใช้เวลาในภาพรวมในแต่ละสถานการณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ควรออกแบบให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของตนเองให้มากที่สุด


……………….
โดย ดร.ณัฐวุฒิ พงศ์สิริ ([email protected])

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
'แสนสิริ' ความหมายของการใช้ชีวิตที่มากกว่า
ใช้ชีวิตคุ้มค่า+เปี่ยมคุณภาพ "เอ็ม จตุจักร" ทางเลือกที่ดีที่สุด


e-book-1-503x62