เมื่อหนุ่มติดใจ ตุ๊กตา(แม่)เทพ l โอฬาร สุขเกษม

01 ก.พ. 2559 | 07:52 น.
เมื่อปีที่แล้วเดือนไหนก็จำไม่ได้ ที่เพิ่งเคยเห็นสุภาพสตรีวันกลางคนคนหนึ่งลงจากรถขณะที่มือด้านหนึ่งอุ้มตุ๊กตาเทพมาด้วย ผมมองเธอแล้วก็นึกในใจว่า อ้อ ! ตุ๊กตาแบบนี้นี่เองที่เขาเรียกว่า ตุ๊กตาเทพ หน้าตาผิวพรรณคล้ายเด็กเล็กจริงๆ  ตุ๊กตาดูแล้วก็น่ารักแต่ก็เกือบ....ขนลุก... แตกต่างกับที่เคยเห็นเด็กอุ้มตุ๊กตาทั่วไป ที่ดูแล้วธรรมดา เพราะเด็กกับตุ๊กตาสวยงามเป็นของคู่กันอยู่แล้ว

ผมเองก็ซื้อตุ๊กตามานักต่อนัก มีกว่าร้อยตัว  เอามาฝากลูกสาว 2 คนสมัยเยาว์วัย จนแม่บ้านต้องขนไปแจกคนอื่นเกือบหมด เหลือเก็บไว้ไม่กี่ตัว เมื่อกลางปีที่แล้วก็ซื้อตุ๊กตาบาร์บี้รุ่นเก่าเก็บ แต่มีวางขายในห้างเทสโก้-โลตัส ฝากลูกสาวตัวหนึ่ง ฝากหลานตัวหนึ่ง เห็นว่าเขาน่าจะมีไว้บ้าง เพราะเป็นของแท้และราคาเบา สมัยก่อนอยากจะซื้อเหมือนกันแต่ราคาแพงไป ให้หลังผ่านมากว่า 20 ปีก็เลยซื้อให้ ส่วนลูกสาวอีกคนหนึ่งผมไปเห็นที่ตลาดนัด เป็นตุ๊กตาหน้าผีวัยรุ่นสไตล์ญี่ปุ่นแบบพั๊งค์ๆ เลยซื้อมาฝากเช่นกัน เพราะลูกคนนี้ชอบศิบปะแบบคุณทิมเบอร์ตันค่ายวอลท์ ดีสนีย์ อย่างหนังเรื่อ The Nightmare Before Christmas  แต่ตุ๊กตาผีต้นตำรับหนังฝรั่งอย่าง “ชักกี้” ไม่เอาหรอกครับ น่ากลัวเกินไป  ติดตามาตั้งแต่สมัยดูหนังโรงหนังสามย่านนู้นหล่ะครับ

สมัยนี้เป็นยุคดีจิตัลแล้ว ความนิยมของคนไทยกลับหันมานิยมตุ๊กตาเด็กเล็กรูปร่างเสมือนจริง เมื่อปีที่แล้วก็เห็นในรายการทีวีเหมือนกันที่เอาไฮโซเอานักแสดงอุ้มตุ๊กตาเทพมาออกทีวี แต่ปีนี้ต่างกันครับ เพราะกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมาก และธุรกิจบางส่วนก็ปรับตัวหันไปตอบรับกับกระแสใหม่ที่กำลังลุกลามยังกับไฟลามทุ่ง และไม่ใช่เพราะตุ๊กตามีความน่ารักเสมือนจริงเท่านั้น แต่เล่นเติม “คาถาอาคม” ให้แก่ตุ๊กตาด้วย ทำให้ผู้คนในสังคมเริ่มตื่นตัวตามกระแส เปิดบริการใหม่อ้าแขนรับ ตั้งแต่จำหน่ายเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ อาหารถวายตุ๊กตาเทพ ร่วมทั้งบริการอื่นๆ อาทิ มีที่นั่งไว้ขายเมื่อจะนำ “เทพน้อยๆ” เดินทางไปด้วย หรือพร้อมจัดอาหารเทพเมื่อคนจะไปรับประทานอาหาร

ความเชื่อของมนุษย์เราก็แปลกนะ ส่วนใหญ่คนเรานับถือว่าเทพเป็นผู้ทรงสิทธิ์ที่เคารพกราบไหว้ ในขณะที่ตำนานว่าด้วยเทพแล้ว ความจริงเป็นฝ่ายตรงกันข้ามเสียมากกว่า สังเกตจากเวลาบวงสรวงเทพเจ้าก็มักจะมีการสังเวยด้วยชีวิตสัตว์ ถวายเหล้าหรือสุราให้ มีการตีกลองร้องรำทำเพลง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ใกล้เคียงกับ “กิเลส”ทั้งนั้น ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเราเรียกว่าอสูร ซึ่งพวกนี้กลายเป็นตัวร้ายไป

ตำนานเทพบอกว่าเดิมบนสวรรค์เป็นที่อยู่ของอสูร แต่อสูรถูกเหล่าเทพหลอกลวงให้ดื่มสุรา แล้วถูกจับทุ่มลงมาส่วนหัวปักจมลงใต้เขาพระสุเมรุ แล้วทวยเทพก็ครองสวรรค์นับแต่นั้นมา ด้วยเหตุนี้ความเชื่อในอดีตจึงมี 2 ฝ่ายเป็นหลักระหว่างเทพกับอสูร อสูรก็คือฝ่ายที่ไม่ดื่มสุรา ส่วนเทพนั้นแน่นอนดื่มสุราครับ จึงมักถวายสุราเป็นเครื่องดื่มสำคัญรองจากน้ำดื่ม

คนไทยมีเสรีภาพมากๆ มากเท่าที่ต้องการและไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร จากเดิมคนไทยนับถือผี นางไม้ ต่อมานับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน แล้วมาเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธนิกายหินยานสมัยกรุงสุโขทัย กฎหมายไทยปัจจุบันก็รับรองสิทธิในการนับถือศาสนา และคนไทยต้องไม่ลบหลู่ความต่างศาสนา

เราจะเห็นว่าปัจจุบันนี้มีเทพสถิตในสถานที่ต่างๆ มากมาย นับถือผสมปนเปไปหมด สร้างเป็นเทพองค์ขนาดยักษ์เลยทีเดียว ก็ไม่ว่ากัน ทำไปแล้วไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ทำไป คนนิยมก็นิยมไป ก็คงจะเดินตามรอยชมพูทวีปกระมังที่มีความหลากหลายความเชื่อหลากหลายลัทธิหลากหลายศาสนาดังที่เป็นอยู่ในเวลานี้

ตุ๊กตาเทพยุคดิจิตอลนี้ดูเหมือนว่าจะต่างกับลูกกรอกครับ เพราะเขาจะอุ้มไปไหนไปด้วย ลูกกรอกปรกติแล้วจะเอาไว้บูชาที่บ้าน ครั้นจะห้อยเทพบนคอเหมือนพระเครื่องก็ทำไม่ได้เพราะใหญ่ไป ความเชื่อของคนที่บูชาเทพน้อยๆ เขาเชื่อว่า ดูแลให้ดีแล้วจะมีโชค มั่งมีเงินทอง สมบูรณ์พูนสุข จะได้สมความปรารถนาที่อยากจะได้ แต่ใครดูแลแล้วได้จริงดังว่ามีมากน้อยเพียงใดก็ไม่อาจทราบได้ อิทธิฤทธิ์นี้จะบังเกิดก็ต่อเมื่อใส่คาถาอาคมไปที่ตัวเทพน้อยๆ เสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็เป็นเพียงตุ๊กตาทั่วๆ ไป และเมื่อมีคาถาอาคม นั่นก็แปลว่าจะมีอักขระหรือข้อความที่ผูกขึ้นซึ่งถือว่ามีอำนาจลึกลับเร้นอยู่ในนั้น  เพราะคาถาอาคมจึงทำให้เกิดความขลังหรือความศักดิ์สิทธิ์ สามารถใช้ประโยชน์ในการปัดเป่าหรือป้องกันสิ่งร้าย  หรือว่าก็ไม่แน่ อาจจะมีการทำกฤตยาคุณไสยเพื่อให้ไปกระทำแก่ผู้อื่นตามที่ต้องการอย่างพวกวูดูก็ได้ ใครจะไปรู้

สมัยรุ่นพ่อแม่ผมเขาก็นิยมคาถาอาคมเหมือนกัน เป็นต้นว่า คาถาเรียกหญิงก็จะร่ายคาถาว่า “โอม กูจะหยิบรอยตีนนางให้เป็นเลือด ให้ใจนางเดือดเหมือนทะเลบ้า ให้นางกล้ม(เขียนอย่างนี้จริงๆ)ถึงข้า สวาหะ” หรือคาถาไล่ไข้จับใช้หมากพ่นใส่ว่า “โอม อีพดอีพัด อีปัดอีพ่น พวกมึงสี่ตน บ้านเมืองอยู่เขาคิชฌกูฏนาวาตาตูด แม่มึงชื่ออีกลาจลที่โจนน้ำตาย คนหนึ่งชื่ออีร้อน คนหนึ่งชื่ออีเย็น คนหนึ่งชื่ออีหนาว คนหนึ่งชื่ออีสะท้าน กูรู้จักพงศาวดารมึง ถ้ามึงไม่ไปให้พ้น.........”

กลับมาเรื่องตุ๊กตาเทพต่อ เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ทางการก็ประกาศว่า ตุ๊กตาเทพก็คือสัมภาระชิ้นหนึ่งเท่านั้น หากนำขึ้นเครื่องบินก็ต้องผ่านการตรวจเอ็กซเรย์เหมือนสัมภาระทั่วๆ ไป (ป้องกันการซุกซ่อนของผิดกฎหมาย) ขึ้นไปแล้วก็ต้องจัดเก็บให้เรียบร้อย โดยนำไว้ในชั้นเหนือศีรษะ ข่าวบอกอีกว่านำไว้ใต้ที่นั่งก็ได้  แต่กรณีนี้ผมว่าไม่น่าจะใช่ เพราะปรกติคนเดินทางก็ปล่อยให้พื้นที่ว่างๆ หรือวางเท้าใต้ที่นั่งข้างหน้า ถ้าเจ้าหน้าที่เห็นวางสัมภาระแล้วเกะกะ เขาก็จะบอกให้นำไปไว้ข้างบน (ยกเว้นรองเท้า) ถ้าเป็นรถโดยสารก็พอว่า หรือจะซื้อตั๋วที่นั่งบนเครื่องบินก็ได้ แต่ต้องระบุชื่อผู้โดยสารผู้เดินทางคนนั้น ไม่ใช่ระบุชื่อตุ๊กตาเทพครับ ส่วนรถไฟถือว่าเป็นสัมภาระทั่วๆ ไปเท่านั้นเอง รถขนส่งของราชการก็เช่นกันครับ

ผมว่าต่อไปจะทำอย่างไร หากหนุ่มใหญ่และหนุ่มน้อยมีเงินเยอะ ซื้อตุ๊กตายางเหมือนจริงทุกซอกทุกมุมจากต่างประเทศตัวหลายแสนบาท  หรือจะเรียก “เทพตัวแม่” หรือตุ๊กตาแม่เทพก็ได้ แล้วเอาออกมาโชว์เวลาขับรถ คือ เอานั่งมาด้วย ประคองเทพตัวแม่พาไปกินข้าวด้วย พาไปงานเลี้ยงด้วย พากลับบ้านด้วย แล้วเวลานอนก็พาไปนอนด้วย ผมว่าดูท่าสังคมนี้จะวิปริตน่าดูเลยทีเดียว

เรื่องนี้บอกตามตรงว่า ...น่าจะมีขอบเขตของความพอดี พอเหมาะ พอควร ไปไหนมาไหนไม่จำเป็นต้องอุ้มไปตลอดเวลาหรอกครับ ทำอะไรก็ทำที่บ้านก็พอ ....เพราะผมเห็นคนอุ้มเทพตามห้างฯตามถนนแล้ว “ขัดตา”   บางทีคนอุ้มก็แต่งหน้าแต่งตายังกับแม่เทพไปด้วย เห็นแล้ว “ขนลุก” มากกว่าน่ารัก ครับ