การประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง "ผู้นำสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ" ที่ประเทศสิงคโปร์ เริ่มต้นด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตรเกินคาดและจบลงด้วยผลการตกลงที่เหนือความคาดหมายเช่นกัน
ปฏิกิริยาของนักลงทุนออกมาในทิศทางบวก ตั้งแต่ผู้นำทั้งสองจับมือกันในช่วงเช้า ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งคู่ ดัชนีตลาดหุ้นนิกเกอิของญี่ปุ่นและฮั่งเส็งของฮ่องกงขยับสูงขึ้นทันที ขณะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินวอนเกาหลีใต้ขยับแข็งค่าขึ้นเช่นกัน
นักลงทุนเห็นสัญญาณที่ดีตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 12 มิ.ย. 2561 เนื่องจากในการพบปะกันรอบแรกแบบตัวต่อตัว (พร้อมล่าม) ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ใช้เวลามากกว่า 30 นาที ก่อนนำไปสู่การหารือแบบเต็มคณะ ที่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ เช่น รัฐมนตรีต่างประเทศของทั้ง 2 ฝ่าย เข้าร่วมด้วย ตามด้วยการรับประทานอาหารกลางวันแบบ Working Lunch ร่วมกัน และการร่วมลงนามในข้อตกลง ที่สื่อระบุว่า
"เป็นการทิ้งความร้าวฉานในอดีตไว้เบื้องหลัง" ความสำเร็จของการเจรจาครั้งนี้นับเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐฯ อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด ทั้งนี้ ได้มีการเชิญ นายคิม จองอึน เยือนกรุงวอชิงตัน แต่ยังไม่มีการกำหนดเวลาที่ชัดเจน
สำหรับเนื้อหาข้อตกลงครั้งนี้
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ย้ำมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า การปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือเป็นประเด็นหลักและสำคัญที่สุด ถ้าเกาหลีเหนือเห็นพ้องกับเรื่องนี้ กระบวนการเจรจาต่าง ๆ จึงจะมีตามมา ซึ่งปรากฏว่า ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย
ผู้นำเกาหลีเหนือ ย้ำว่า จะเดินหน้าปลดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดออกจากคาบสมุทรเกาหลี ตามแถลงการณ์ที่ได้ทำไว้กับผู้นำเกาหลีใต้ที่หมู่บ้านปันมุนจอม ในวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา แม้จไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด แต่ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญ
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์และคิม จองอึน ยังเห็นพ้องที่จะเริ่มต้นสัมพันธภาพยุคใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ เพื่อสันติภาพและความมั่นคงของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่าย ยังให้คำมั่นว่า จะตามหาและส่งคืนร่างของเชลยศึกและนายทหารที่สูญหายในสงคราม
สัญญาณที่ดีในเชิงการค้า คือ การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือในครั้งนี้ จะนำไปสู่การพัฒนาสัมพันธภาพที่ดีขึ้นระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ทำให้มีการต่อยอด ซึ่งจะนำไปสู่การยุติมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือที่เคยมีมา และทำให้ภาวะการค้าการลงทุนกับเกาหลีเหนือกลับคืนสู่ภาวะปกติ
นักวิเคราะห์ยังระบุความเป็นไปได้ที่ว่า บรรยากาศความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ยังจะส่งผลต่อท่าทีของอิหร่าน ในประเด็นการพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ซึ่งปัจจุบัน ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรอยู่ เนื่องจากอิหร่านและเกาหลีเหนือมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และมีความร่วมมือในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อเกาหลีเหนือสามารถเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ ได้ อิหร่านก็น่าจะสามารถผ่อนคลายท่าทีและใช้แนวทางเดียวกันกับเกาหลีเหนือ ในการแสวงหาทางออก เพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า นี่เพิ่งเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ดังนั้น เชื่อว่ารายละเอียดของข้อตกลงจะยังไม่ครอบคลุมทุกเรื่องที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องการ แต่อย่างน้อยการประชุมครั้งนี้เป็นการตั้งเข็มทิศสู่ทิศทางที่ดี และการพบปะเจรจาครั้งต่อ ๆ ไปในอนาคตอันใกล้ จะต้องมีขึ้นเพื่อลงลึกในรายละเอียดกันต่อไป
นอกจากนี้ ความเสี่ยงยังคงมีอยู่ เพราะถึงแม้การประชุมครั้งแรกนี้จะสามารถตกลงกันได้ แต่ต่อไปเมื่อมีการพูดคุยในรายละเอียด ก็อาจพบกับประเด็นที่เป็นทางตัน ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้นอาจใช้เวลาคุยกันแล้ว 1-5 ปี
"นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราถึงคาดหวังข้อตกลงที่มีความชัดเจน มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอนชัด ๆ ในบริบทที่เกาหลีเหนือรู้สึกได้รับสเถียรภาพ และมีความมั่นใจที่จะปฏิบัติตามแต่ละขั้นตอน และสหรัฐฯ เอง ก็อยู่ในตำแหน่งที่สามารถติดตามตรวจสอบ ว่า แต่ละขั้นเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้" ไมเคิล คอฟริก ที่ปรึกษาอาวุโสของกลุ่มอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิส กรุ๊ป ให้ความเห็น เขายังมองว่า สิ่งที่เกาหลีเหนือรับปากไว้ (ว่าจะปลดอาวุธนิวเคลียร์) ก็ใช่ว่าจะเป็นการรับรองว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น เพราะในอดีตที่ผ่านมา ผู้นำเกาหลีเหนือเคยกลับลำ ไม่ทำตามข้อตกลงมาแล้ว กระบวนการตรวจสอบจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งยวด
ผู้นำนานาประเทศทั่วโลกติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้เช่นกัน ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ให้ความเห็นว่า มีความหวังอย่างสูงว่า การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ และหากเกาหลีเหนือยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์ ก็ควรได้รับรางวัลตอบแทนจากสหรัฐฯ ไม่ควรจะเป็นฝ่ายจะต้องยอมให้สหรัฐฯ แต่เพียงฝ่ายเดียว รัสเซียเองเนื่องจากมีพรมแดนติดเกาหลีเหนือ เวลามีสถานการณ์ตึงเครียดหรือกรณีพิพาทเกิดขึ้น ก็อดจะกังวลเกี่ยวกับผลกระทบไม่ได้
……………….
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,374 วันที่ 14-16 มิ.ย. 2561 หน้า 01-02
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
●
“ทรัมป์” และ “คิม” ถึงสิงคโปร์แล้ว รอถกนัดประวัติศาสตร์
●
"ทรัมป์" ยกเลิกนัด "คิม" ลั่น! โสมแดงทำตัวเป็นปฏิปักษ์