2บิ๊กอสังหาฯทุ่ม4หมื่นล้านลงทุนใหม่ดันบริษัทย่อยรุกธุรกิจโรงแรมเต็มสูบ

25 มิ.ย. 2561 | 06:18 น.
2บิ๊กอสังหาฯทุ่ม4หมื่นล้าน ลงทุนใหม่ดันบริษัทย่อยรุกธุรกิจโรงแรมเต็มสูบ

สิงห์เอสเตท ปิดดีลซื้อ 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ มูลค่าร่วม 1 หมื่นล้านบาท เสริมแกร่ง เอส โฮเตล ดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯปีหน้า ด้านออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” ทุ่ม 2 หมื่นล้านบาทรุก 3 กลุ่มธุรกิจได้มือดีวงการโรงแรมคุม  ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย ไม่เพียงโฟกัสการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพิ่มขึ้น แต่ยังมองถึงการสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทย่อย ให้มาดูการลงทุนใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง และผลักดันบริษัทย่อยเหล่านี้ เข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ เพื่อขยายฐานรายได้ประจำให้แก่บริษัทแม่มากขึ้น

K.Naris

ล่าสุดสิงห์ เอสเตทฯ ปิดดีลซื้อ 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ จาก APAC Holding LLC มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทเรียบร้อยแล้ว

หลังการซื้อกิจการดังกล่าว ก็จะมีการโอนโรงแรมทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ เอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท, โรงแรมแคสต์อเวย์ ไอส์แลนด์ ในประเทศฟิจิ, เอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีช รีสอร์ท, เอาท์ริกเกอร์ เกาะสมุย บีช รีสอร์ท, เอาท์ริกเกอร์ มอริเชียส บีช รีสอร์ท ประเทศมอริเชียส และเอาท์ริกเกอร์ โคน็อตตา มัลดีฟส์ รีสอร์ท เข้ามาอยู่ในบริษัท เอส โฮเตล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของสิงห์ เอสเตท ที่กำลังจะถูกปลุกปั้นให้มาโฟกัสการลงทุนและบริหารจัดการในธุรกิจโรงแรม รวมถึงวางแผนสร้างแบรนด์โรงแรมของตัวเองในอนาคต

mp22-3374-a

ปัจจุบันเอส โฮเตลฯ มีโรงแรมอยู่ภายใต้การดูแล 29 แห่งในต่างประเทศ (โรงแรมที่ไปซื้อร่วมกับฟิโก้ คอร์ปอเรชั่น ที่สิงห์เอสเตท เป็นเจ้าของอยู่ 50%) และโรงแรมในประเทศ 2 ของสิงห์ เอสเตท คือโรงแรมสันติบุรี เกาะสมุย และ พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ รีสอร์ท อีกทั้งสิงห์ เอสเตท ยังมีแผนจะนำบริษัทเอส โฮเตล แอนด์ รีสอร์ท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2562 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท

อีกทั้งปัจจุบันสิงห์ เอสเตท ยังอยู่ระหว่างลงทุนโครงการ “ครอสโร้ดส์” ที่ประเทศมัลดีฟส์ ที่จะเป็นการลงทุนด้าน Tourist Facilities Destination จำนวน 9 เกาะ ที่จะมี 9 โรงแรม สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการท่องเที่ยว อาทิ ท่าเทียบเรือยอชต์, บีช คลับ, ร้านค้าไลฟ์สไตล์, ร้านค้าปลอดภาษี, ร้านอาหาร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างลงทุนในเฟสที่ 1 มูลค่าการลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท โดยจะเปิดตัวโรงแรมได้ 2 แห่งช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ส่วนการลงทุนในเฟส 2 จะดำเนินการได้หลังจากปี 2562

Out

ทั้งนี้การลงทุนที่เกิดขึ้นรวมโครงการครอสโร้ดส์ที่มัลดีฟส์ คาดว่าสินทรัพย์ของสิงห์ เอสเตท จะเติบโตเป็น 6 หมื่นล้านบาท จากปี 2560 ที่มีสินทรัพย์อยู่ที่ราว 4 หมื่นล้านบาท ส่วนแหล่งเงินที่ใช้ในการลงทุนจะมีทั้งเงินกู้และเงินทุนของสิงห์ เอสเตท

ขณะที่ “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ล่าสุดดึงมือทองในธุรกิจโรงแรม “กมลวรรณ วิปุลากร” ที่หลังจากเกษียณจากดิเอราวัณ กรุ๊ป ก็มานั่งแท่นดูแลกลุ่มธุรกิจโรงแรม, เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ กลุ่มสำนัก งานให้เช่า-ค้าปลีก และกลุ่มธุรกิจอาหารภายใต้ “บริษัท วัน ออริจิ้น” ที่เพิ่งเปิดตัว และประกาศแผนลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาทใน 5 ปีนี้ ส่วนออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ก็จะโฟกัสการพัฒนาอสังหาริม ทรัพย์เพียงอย่างเดียว

ka

นางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภายในช่วง 5 ปีจากนี้ (ปี 2561-2565) บริษัทจะเดินหน้าลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนด้วยงบลงทุนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้าว่าทรัพย์สินจากการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้าง Market Value ให้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท และช่วยสร้างยอดขายรวมในช่วงแผน 5 ปีนี้ให้ราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะทำให้เราขึ้นแท่นเป็น ท็อป 5 ในวงการธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส

สำหรับเงินลงทุนจะมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1. เงินทุนจากบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ฯ และ 2. เงินทุนจากการร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลก เช่น บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ซึ่งมีการสร้างความร่วมมือระหว่างกันแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รวมถึงการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการระดมทุนเพิ่มเติม อันจะเป็นผลดีต่อการขยายธุรกิจในระยะยาวด้วย

โปรโมทแทรกอีบุ๊ก-6

เบื้องต้นคาดว่าภายใน 5 ปี จะพัฒนาโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ทั้งหมด 15 แห่ง รวมจำนวนห้องพักกว่า 4 พันห้อง ส่วนของอาคารสำนักงานและร้านค้าอีก 10 แห่ง ซึ่งการพัฒนาโครงการของวัน ออริจิ้น จะเน้นทำเลกรุงเทพฯ และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี)

โดยที่ผ่านมาได้เซ็นสัญญานำแบรนด์ของเชน อินเตอร์คอนติเนนตัล (ไอเอชจี) เข้ามาบริหารโรงแรม 3 แห่ง ได้แก่ 1. สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ 2. สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา และ 3. ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง จะทยอยเปิดครบทั้ง 3 แห่งภายในปี 2564 ขณะเดียวกันยังวางแผนลงทุนในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ รูปแบบการพัฒนาเปิดกว้างทั้งการพัฒนาในลักษณะมิกซ์ยูส และการพัฒนาโครงการแต่ละประเภทแบบสแตนด์อะโลน ขึ้นอยู่กับศักยภาพของทำเลและที่ดิน

            หน้า 22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่38 ฉบับ 3,374 ระหว่างวันที่ 14 - 16 มิ.ย. 2561 e-book-1-503x62-7