นักวิชาการชี้ ประเด็นน่าจับตาของการประชุม 2 ผู้นำ "มะกัน" และ "โสมขาว"

11 มิ.ย. 2561 | 13:16 น.
นักวิชาการธรรมศาสตร์ ชี้ 2 ประเด็นน่าจับตา ในการพบกันครั้งประวัติศาสตร์ของ 2 ผู้นำ ระหว่าง “ทรัมป์” และ “คิม”

- 11 มิ.ย. 61 - รศ.ดร.นภดล ชาติประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เปิดเผยว่า การพบกันของ 2 ผู้นำระหว่าง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ คิม จองอึน นับเป็นการพบกันครั้งแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯที่อยู่ในตำแหน่งกับผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งไม่เคยพบกันมาก่อน จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจและจับตามอง โดยมุ่งประเด็นไปที่การปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยาก รศ.ดร.นภดล ชาติประเสริฐ

“หากพูดกันตามความเป็นจริงนั้น แม้เกาหลีเหนือเป็นประเทศเล็ก แต่มีขีปนาวุธ มีอาวุธนิวเคลียร์ และตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากต่อเสถียรภาพของคาบสมุทรเกาหลี และภูมิภาคตะวันออก ไม่ใช่แค่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศญี่ปุ่น จีน รัสเซีย และสหรัฐฯที่แม้จะไม่ได้อยู่ในภูมิภาคนี้ แต่ก็เข้ามามีบทบาทอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้นการพบกันของผู้นำที่มีความสำคัญต่อการคลี่คลายความตึงเครียดนี้ จึงนับว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่ง เพราะในทางการทูตเป็นเรื่องค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่กระบวนการเบ็ดเสร็จหรือความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด”

ประเด็นแรกที่คาดการณ์ว่า น่าจะเกิดขึ้นในการพบกันครั้งนี้ คือ การยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด แม้ว่าสงครามเกาหลีจะสิ้นสุดไปนานแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ.1953 แต่เป็นการยุติโดยสนธิสัญญาหยุดยิง ไม่ใช่สนธิสัญญาสันติภาพ เพราะฉะนั้นในเทคนิคถือว่า สงครามเกาหลียังอยู่ ถ้าหากสามารถทำสนธิสัญญาสันติภาพได้สำเร็จ ก็นับว่าเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้เกาหลีเหนือได้รับการยอมรับจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯได้ ซึ่งสนธิสัญญาสันติภาพนี้ได้มีการพูดกันแล้วตั้งแต่ครั้งที่ผู้นำเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้พบกันเมื่อปลายเดือนเมษายน และพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นภายในปีนี้ โดยเชิญ สหรัฐฯกับจีนมาร่วมด้วย หากแต่เกาหลีเหนือกับสหรัฐฯยังไม่เคยพบกันเป็นเรื่องเป็นราวมาก่อนเพราะฉะนั้นถ้าสหรัฐฯกับเกาหลีเหนือสามารถพูดคุยกันได้ เส้นทางที่จะนำไปสู่การทำสนธิสัญญาสันติภาพก็น่าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

อีกประเด็นหนึ่งคือ การให้สหรัฐอเมริกาเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือ เพราะขณะนี้สหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกัน แต่เกาหลีใต้มีความสัมพันธ์ทางการทูตทั้งกับสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย ทำให้เกาหลีใต้ได้เปรียบเกาหลีเหนือในด้านการทูตอยู่มาก เกาหลีเหนือจึงพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาเพื่อความสมดุล และถ้าสหรัฐฯ เปิดความสัมพันธ์ ก็เท่ากับว่า รับรองสถานะของเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการ แต่สหรัฐฯ จะตกลงหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก เพราะสหรัฐฯ อาจจะนำเรื่องนี้ไปผูกกับเรื่องอื่น เช่น การยุติโครงการนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง หรือการลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างรวดเร็วจนนำไปสู่การไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ในที่สุดซึ่งเป็นเรื่องยาก แน่นอนว่าการเปิดความสัมพันธ์มันต้องมีขั้นมีตอน การลดอาวุธนิวเคลียร์มันก็มีขั้นมีตอนเช่นเดียวกัน trump-kim-summit-sg

ดังนั้นการพบกันในวันที่ 12 นี้แล้วจะยุติอาวุธนิวเคลียร์เลย คงจะเป็นไปไม่ได้ คงต้องคุยกันในเรื่องของกระบวนการก่อน และหากเกาหลีเหนือตอบตกลงลดจำนวนขีปนาวุธ หรือลดการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เกาหลีเหนือจะขอแลกกับอะไร คงไม่ใช่แค่การเปิดความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังมีประเด็นที่ซับซ้อนกว่านั้นอีก เช่น เกาหลีเหนืออยากให้สหรัฐฯ ถอนกำลังทหารออกจากเกาหลีใต้ทั้งหมดโดยเฉพาะทหารบกที่มีจำนวนมากกว่า 30,000 คน ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะทหารอเมริกันเป็นสิ่งที่ค้ำประกันความมั่นคงของเกาหลีใต้อยู่ และไม่ได้ทำหน้าที่แค่ในเกาหลีใต้เท่านั้น แต่ดูแลภูมิภาคนี้โดยรวมด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องความต้องการให้สหรัฐฯ ยุติการซ้อมรบ ซึ่งทำกับเกาหลีใต้เป็นประจำทุกปี เพราะฉะนั้นโจทย์ตรงนี้ยากมากหรือถ้าเป็นไปได้ คาดว่าน่าจะเป็นการประนีประนอมกันในลักษณะแบบคุยกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทีละขั้น ไม่ใช่กระบวนการแบบเบ็ดเสร็จ ยกเว้นเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพอย่างที่กล่าวไปข้างต้น

“หากการพบกันของผู้นำทั้งสองประเทศในครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดี ก็จะเป็นผลดี ต่อการค้า การลงทุน และที่สำคัญต่อสันติภาพของโลก ส่วนประเทศไทยเอง หากเกาหลีเหนือเปิดประเทศมากขึ้นก็จะสามารถทำมาค้าขายได้ เพราะเกาหลีเหนือก็มีประชากร 20 กว่าล้านคน และมีแร่ธาตุที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ในด้านเศรษฐกิจ หากเปิดประเทศก็ยังคงต้องการการลงทุนจากหลากหลายประเทศ ซึ่งอาจจะทำให้ไทยมีลู่ทางในการเข้าไปลงทุน เนื่องจากประเทศไทยก็มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เป็นอย่างดี และทั้งสองประเทศก็มีสถานทูตอยู่ในไทยอีกด้วย”