ประชุมเฟด12-13 มิ.ย.นี้คาดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก0.25%

11 มิ.ย. 2561 | 11:21 น.
ประชุมเฟดรอบ 12-13 มิ.ย. 61 คาดเฟด ‘ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%’หลังพัฒนาการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งต่อเนื่อง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 1.50-1.75% เป็น 1.75-2.00% ในการประชุมรอบที่สี่ของปีนี้ ในวันที่ 12-13 มิถุนายน 2561 ทั้งนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงมีพัฒนาการที่แข็งแกร่ง รวมทั้ง ทิศทางของเงินเฟ้อที่ปรับเข้าใกล้เป้าหมายเงินเฟ้อของเฟดมากขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินที่เป็นกลาง เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาวและป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ต้องติดตามในการประชุมเฟดครั้งนี้ คงได้แก่ การส่งสัญญาณถึงมุมมองอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะมุมมองดอกเบี้ยระยะยาว อันจะมีผลต่อเส้นทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นที่สร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินโลกได้ หากเฟดมีการปรับมุมมองของอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

kbk-lo

*เฟดน่าจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินรอบที่สี่ของปีนี้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้
- การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงมีพัฒนาการที่แข็งแกร่งสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินที่เป็นกลางมากขึ้น ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯจะมีมากขึ้น แต่เครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมยังคงขยายตัวได้ดี อันสะท้อนผ่านภาพการบริโภคของสหรัฐฯ ที่สดใส ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงมีพัฒนาการที่แข็งแกร่ง โดยจำนวนการว่างงานปรับลดเกือบ 8 แสนตำแหน่งนับจากต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราการว่างงานอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.8 อันเป็นระดับต่ำสุดในช่วงเกือบ 2 ทศวรรษ ขณะที่ตำแหน่งงานที่เปิดรับเดือน เม.ย. 61 ปรับเพิ่มขึ้นสู่ 6.7 ล้านตำแหน่งใน อันสูงกว่าจำนวนคนว่างงานของสหรัฐฯที่มี 6.4 ล้านคนเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ ด้วยภาพของตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งยังคงสนับสนุนให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องโดยไม่น่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ

-พัฒนาการของอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับเข้าใกล้เป้าหมายเงินเฟ้อของเฟด โดยอัตราเงินเฟ้อที่คำนวณจากดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นแตะระดับร้อยละ 2 และมีแนวโน้มที่จะทยอยปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยหนุนให้ระดับอัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นยังคงมีอยู่หลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นแรงส่งจากการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวได้ดี ราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้น รวมทั้ง การส่งผ่านของราคาสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ

kasi

อันอาจจะส่งผลให้ระดับอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า อยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟดได้ โดยปัจจัยดังกล่าว คงเป็นอีกประเด็นที่ส่งผลให้เฟดน่าจะส่งสัญญาณถึงสาธารณชนที่จะดูแลให้เงินเฟ้อเคลื่อนไหวในกรอบที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายในระยะกลาง-ยาว อันเป็นการป้องกันไม่ให้สาธารณชนคาดการณ์ถึงอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง

-ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การส่งสัญญาณถึงมุมมองอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะมุมมองดอกเบี้ยระยะยาว ทั้งนี้ ในการประชุมรอบนี้เฟดจะมีการส่งสัญญาณถึงแนวโน้มในการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดอันใหม่ ซึ่งมีโอกาสที่เฟดอาจจะส่งสัญญาณถึงโอกาสที่เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจำนวน 4 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาคงหนี้ไม่พ้นการส่งสัญญาณถึงระดับอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของเฟด อันจะมีผลต่อแนวทางในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าว่า เฟดจะมีการปรับขอบบนของอัตราดอกเบี้ยระยะยาวจากระดับ 3.0% หรือไม่ โดยหากเฟดมีการปรับขอบบนดังกล่าวขึ้น อาจจะเป็นการส่งสัญญาณถึงมุมมองการดำเนินนโยบายที่ตึงตัว อันอาจจะส่งผลให้ตลาดการเงินมีความผันผวนรอบใหม่ได้

-นอกจากนี้ ยังต้องจับตาการประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ที่อาจจะส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงินนอกเหนือจากผลของการประชุมเฟด ที่ตลาดได้คาดการณ์ไปแล้วส่วนหนึ่ง โดยหากผลการประชุมสามารถที่จะผ่านพ้นไปได้ดี น่าจะสนับสนุนทิศทางของเงินดอลลาร์ฯ ให้มีโอกาสปรับแข็งค่าในระยะต่อไป แต่หากผลการประชุมไม่ประสบผลสำเร็จอาจจะนำมาสู่ความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ฯ อันจะส่งผลต่อไปยังค่าเงินบาทต่อไป

โปรโมทแทรกอีบุ๊ก-6

-สำหรับผลต่อประเทศไทย การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในครั้งนี้ อาจส่งผลให้ประเทศที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างประเทศที่อ่อนแอ อาทิ อินเดีย อินโดนีเซีย และบราซิล อาจจะเผชิญกับภาวะการไหลออกของเงินทุนเพิ่มเติมได้ ทำให้เงินทุนบางส่วนไหลกลับสู่ตลาดสหรัฐฯ จากอัตราผลตอบแทนที่น่าดึงดูดมากขึ้น และส่งผลให้ประเทศเหล่านั้นอาจจะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดการไหลออกของเงินทุน ตลอดจนส่งผลให้ระดับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศในตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทยทยอยปรับตัวสูงขึ้นตาม

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะเผชิญกับการไหลออกของเงินทุนอย่างฉับพลันเหมือนกับประเทศดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากเสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศของไทยอยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีสูงกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งเพียงพอต่อการรองรับการชำระหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ตลอดจน การไหลออกของเงินทุนจากนักลงทุนต่างประเทศในตลาดทุนไทย

ในส่วนของการดำเนินนโยบายการเงินของไทย แม้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด รวมทั้ง ประเทศในอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ อาจจะเพิ่มแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายการเงินของไทยบางส่วน แต่ด้วยปัจจัยสภาพคล่องในประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับสูงโดยสภาพคล่องส่วนเกินในระบบยังมีสูงกว่า 2 ล้านล้านบาท ยังคงสนับสนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยยังสามารถที่จะคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.50 อีกระยะ เพื่อสนับสนุนความต่อเนื่องของการฟื้นตัวเศรษฐกิจ

e-book-1-503x62-7