ไมเนอร์เปิดดีล1.3พันล้านยูโรลุยต่อซื้อหุ้นเอ็นเอชกรุ๊ปเกิน50%เสริมแกร่งโรงแรมในยุโรป

11 มิ.ย. 2561 | 11:59 น.
ไมเนอร์ขึ้นแท่นถือหุ้นใหญ่ในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป เชนโรงแรมดังสเปน ล่าสุดซื้อหุ้นเพิ่มอีก 25.2% ทั้งอยู่ระหว่างทำคำเสนอซื้อ ดันสัดส่วนหุ้นเพิ่มเป็น 51-55% เบ็ดเสร็จใช้เงินลงทุนสูงถึง 1.3-1.4 พันล้านยูโร จ่อออกหุ้นกู้ หนุนมีโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอมากกว่า 540 แห่งทั่วโลก

collection-palazzo-barocci_213 (2) ปัจจุบันบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป (NH Hotel Group) เชนโรงแรมจากประเทศสเปนที่มีโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอ 382 แห่ง รวมจำนวนห้องพักรวมเกือบ 5.93 หมื่นห้องใน 30 ประเทศทั่วทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา และเป็นเครือโรงแรมใหญ่อันดับ 6 ของทวีปยุโรป

หลังจากล่าสุดได้ประกาศเพิ่มการถือหุ้นอีก 25.2% ในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป เงินลงทุน 619 ล้านยูโร (ราว 2.33 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกเป็นจำนวน 65.85 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 16.8% เมื่อนับรวมหุ้นสามัญทั้งหมด ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณวันที่ 15 มิถุนายน 2561 และส่วนที่ 2 เป็นจำนวน 32.94 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 8.4% เมื่อนับรวมหุ้นสามัญทั้งหมด คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2561 รวมกับก่อนหน้านี้ที่ได้เข้าไปซื้อหุ้นในสัดส่วน 9.5% เมื่อนับรวมหุ้นสามัญทั้งหมด ลงทุน 192 ล้านยูโร (ราว 7,257 ล้านบาท) ส่งผลให้ขณะนี้ไมเนอร์จะมีหุ้นในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป อยู่ที่ 34.7% มูลค่าการลงทุน 859 ล้านยูโร (ราว 3.24 หมื่นล้านบาท)

gate-one (1)

นอกจากนี้ไมเนอร์ยังตั้งเป้าที่จะถือหุ้นในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ให้อยู่ในสัดส่วน 51-55% ซึ่งคาดว่ากระบวนการเสนอซื้อหุ้นจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 3-5 เดือน ภายหลังจากการยื่นคำเสนอซื้อตามข้อกำหนด เนื่อง จากขณะนี้อยู่ระหว่างประกาศเจตนาในการดำเนินการตามกฎของประเทศสเปน เพราะเข้าข่ายการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป โดยราคาเสนอซื้อจะต้องไม่ตํ่ากว่าราคาสูงสุดที่ไมเนอร์ได้ซื้อหุ้นของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 6.40 ยูโรต่อหุ้น (ก่อนการปรับราคายุติธรรม)

อีกทั้งการทำคำเสนอซื้อหุ้นใน เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของไมเนอร์ จาก National Securities Market Commission  ของประเทศสเปน (CNMV) และจากหน่วยงานที่ป้องกันการผูกขาดทางการค้าที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้เบ็ดเสร็จเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนหุ้นในเอ็นเอช  โฮเทล กรุ๊ป ให้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 51-55% ไมเนอร์จะต้องใช้เงินลงทุนสำหรับดีลนี้อยู่ที่ราว 1,300-1,400 ล้านยูโร (ราว 4.91-5.29 หมื่นล้านบาท) โดยการลงทุนในช่วงแรก จะเป็นการใช้สินเชื่อสกุลเงินยูโร ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย แต่หากดำเนินการทำคำเสนอซื้อหุ้นตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์มาดริดแล้วเสร็จในอีก 3-5 เดือน ก็จะเปลี่ยนเป็นการออกหุ้นกู้แทน ซึ่งบริษัทได้วางแผนทางด้านการเงินไว้แล้ว และการลงทุนครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัท

การซื้อเชนดังกล่าว เป็นอีกหนึ่งของการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในการเข้าไปปักธุรกิจในยุโรป หลังจากเมื่อปี 2559 ก็ได้ไปซื้อกิจการของทิโวลี โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เชนโรงแรมของโปรตุเกส

Dillip Rajakarier CEO Minor International

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมเนอร์ โฮเทลส์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าบริษัทยังไม่มีแผนการเพิ่มทุนในปัจจุบัน ส่วนแหล่งเงินที่จะนำไปซื้อหุ้นเพิ่มในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป จะเป็นการออกตราสารหนี้ โดยไมเนอร์  คาดว่าจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินส่วนที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วน ของผู้ถือหุ้นในปี 2562 ให้อยู่ที่ 1.3 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสม

ไมเนอร์ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการดำเนินธุรกิจ ด้วยการขับเคลื่อนกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการดำเนินงานของบริษัทในอุตสาหกรรมโรงแรมในทวีปยุโรป การลงทุนดังกล่าวจะทำให้เรามีเครือข่ายโรงแรมมากกว่า 540 แห่ง ครอบคลุมทั้งทวีปเอเชีย โอเชีย เนีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่สำคัญของธุรกิจโรงแรมในระดับโลก

นอกจากนี้ การลงทุนในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการดำเนินงานของบริษัทในอุตสาหกรรมโรงแรมในทวีปยุโรป ด้วยเครือข่ายธุรกิจของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ที่ไม่ซํ้าซ้อนกับเครือข่ายธุรกิจเดิมของไมเนอร์ทั่วโลก จะส่งผลให้ทั้ง 2 บริษัทได้ประโยชน์จากความเป็นผู้นำในตลาดที่มีการเติบโตสูง เครือข่ายโรงแรมและแบรนด์ที่ช่วยส่งเสริมธุรกิจให้กันและกัน ระบบเทคโนโลยี และบุคลากรที่มีความสามารถ

รวมทั้งไมเนอร์ยังสามารถช่วยสนับสนุน เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ด้วยการนำแบรนด์อาหารที่เหมาะสม อาทิ เดอะ คอฟฟี่ คลับ, เบนิฮานา เข้าไปสู่โรงแรมต่างๆ ภายใต้แบรนด์ของเอ็นเอช โฮเทล เพื่อช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและเพิ่มศักยภาพของรายได้ตามความเหมาะสม เนื่องจากบริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,000 สาขา ใน 27 ประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ ดังนั้นด้วยความร่วมมือของทั้ง 2 บริษัท จะทำให้เกิดความสำเร็จมากยิ่งขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า และมีโอกาสในการเติบโตในธุรกิจมาก กว่าที่แต่ละบริษัทจะสามารถทำได้เอง

              หน้า 22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่38ฉบับ 3,373 ระหว่างวันที่ 10 - 13 มิ.ย. 2561 e-book-1-503x62-7