สภาธุรกิจสหรัฐฯ–อาเซียน หนุนไทยใช้ “พาราควอต” จับตา “เครือข่ายแบน” บุกทำเนียบ

04 มิ.ย. 2561 | 13:12 น.
สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา–อาเซียนหนุนไทยใช้พาราควอต ร่อนหนังสือผ่านทูตเกษตร จับตา เครือข่ายแบน “พาราควอต” 700 คนบุกทำเนียบ 5 มิ.ย. วันพรุ่งนี้

- 4 มิ.ย. 61 - แหล่งข่าวจากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้รับแจ้งจากสมาคมสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา–อาเซียน (U.S.–ASEAN Business Council หรือ USABC) ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้สมาชิกอันประกอบด้วย บริษัทอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรชั้นนำของสหรัฐฯ อาทิ เช่น Cargill, Archer Daniel Midlands, Coca-Cola, Elanco Animal Health and Monsanto, DuPont, MSD Animal Health, Pebsi, Syngenta, Yum Brands และ Zoetis เป็นต้น เพื่อแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายกฎระเบียบภายในประเทศสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของสมาชิก สาระสำคัญในจดหมายสรุปได้ดังนี้

“สารเคมีไกลโฟเซต จะช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้แก่เกษตรกรไทย  ผลการศึกษาวิจัยพบว่ามีความปลอดภัยหากใช้อย่างถูกต้องและได้รับจดทะเบียนอนุญาตใช้ 160 ประเทศทั่วโลก ที่สำคัญการห้ามใช้จะส่งผลกระทบต่อดัชนีชี้วัด Foreign Direct Investment (FDI) ของไทยเนื่องจากการลงทุนอุตสาหกรรมประเภทดังกล่าวจากบริษัทต่างประเทศจะลดน้อยลง”

อย่างไรก็ตามทาง USABC และสมาชิกยินดีให้คำปรึกษาและส่งข้อมูลการศึกษาวิจัยที่แสดงถึงความปลอดภัยและประโยชน์ของสารเคมี เพื่อช่วยรักษาผลประโยชน์ให้แก่เกษตรกรไทย หากหน่วยงานไทยต้องการข้อมูลสนับสนุน ข้อคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญสามารถติดต่อได้ที่ [email protected] 53457

ขณะที่น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงาน เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (ไทยแพน) กล่าวยืนยันว่า วันพรุ่งนี้ (5 มิ.ย. 2561) ตรงกับวันสิ่งแวดล้อมโลก ทางเครือข่ายแบนพาราควอต จะพบกันหน้าจุดนัดพบ ข้างวัดเบญจมบพิตร เวลา 07.00 น. และเริ่มเคลื่อนขบวนไปหน้าทำเนียบเวลา 08.00 น. โดยจะนำจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ทบทวนมติและกระบวนการพิจารณาเพื่อยกเลิกการใช้พาราควอต และ คลอร์ไพริฟอส

ตามที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้มีการประชุม (วันที่ 23 พ.ค. 61) ที่ผ่านมาได้มีการพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตราย 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต มีมติไม่ยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายทั้ง 3 ชนิด โดยให้เหตุผลว่าข้อมูลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพยังไม่เพียงพอ ซึ่งขัดแย้งกับผลการพิจารณาของคณะกรรมการหลายชุดก่อนหน้านี้ รวมทั้งความเห็นของประชาคมวิชาการและมติของสภาเกษตรกรแห่งชาติ ในการนี้เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรงซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาชน 612 องค์กร ที่ได้ติดตามสถานการณ์เรื่องนี้และสนับสนุนมติของกระทรวงสาธารณสุข มีข้อสังเกตต่อกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายและการทำงานของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตราย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ดังนี้ โปรโมทแทรกอีบุ๊ก-6

1. ในขณะที่กรมวิชาการเกษตรขอปรึกษาคณะกรรมการวัตถุอันตรายในประเด็นผลกระทบต่อสุขภาพ เพื่อควบคุมสารทั้ง 3 ชนิด แต่การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตรายฯ กลับเลือกตัวแทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และอดีตข้าราชการกระทรวงเกษตรฯถึง 4 คน และอีก 4 คนเลือกจากผู้ที่แสดงจุดยืนสนับสนุนกระทรวงเกษตรฯ จากคณะกรรมการที่มีจำนวน 12 คน ซึ่งล้วนแต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านผลกระทบต่อสุขภาพ

2. อนุกรรมการเฉพาะกิจฯดังกล่าวใช้ข้อมูลเก่าล้าสมัย เพื่อโน้มน้าวให้มีการใช้สารพิษร้ายแรงดังกล่าวต่อไป โดยเพิกเฉยต่อข้อมูลเชิงประจักษ์และรายงานใหม่ๆ เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเครือข่ายนักวิชาการจากหลายสถาบัน เช่น สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยนเรศวร ต้องจัดเวทีให้ข้อเท็จจริงทางวิชาการ

3. กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายในวันที่ 23 พ.ค. 2561 มีกรรมการอย่างน้อย 3 คนมีส่วนได้เสียกับสมาคมค้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่กลับไม่มีการแสดงการมีส่วนได้เสียและไม่มีการสละสิทธิ์ลงคะแนน ซึ่งอาจขัด พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 มาตรา 12 วรรค 2 (เอกสารแนบ 6)

เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรงจึงขอกราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้โปรดพิจารณาบัญชาให้มีการดำเนินการ ดังนี้

e-book-1-503x62 1. ให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายทบทวนมติ และพิจารณายกเลิกพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส ในเดือน ธ.ค. 2562  ตามกรอบเวลาที่กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอไว้ โดยกระบวนการพิจารณาข้อมูลและลงมติต้องไม่มีผู้มีส่วนได้เสียเข้าร่วม เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 มาตรา 12 วรรค 2 ใช้ข้อมูลที่ทันสมัย เป็นกลางทางวิชาการ และมาจากหน่วยงานที่มีความเชียวชาญโดยตรง ได้แก่ ผลการพิจารณาของกระทรวงสาธารณสุข (เอกสารแนบ 1 และ 3) คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เอกสารแนบ 4) และข้อมูลจากเครือข่ายประชาคมวิชาการ (เอกสารแนบ 5) ซึ่งเพียงพอต่อการพิจารณายกเลิกการใช้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอส เนื่องจากเป็นเหตุผลที่สอดคล้องกับ 53 ประเทศที่ยกเลิกการใช้พาราควอตไปก่อนหน้านี้ และเป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (เอกสารแนบ 7) นำประเทศมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการศึกษาหาวิธีการทดแทน ตามมติของสภาเกษตรกรแห่งชาติ (เอกสารแนบ 2) เพื่อปกป้องคุ้มครองสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค ทั้งนี้จากการสำรวจของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช พบว่า เกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ ข้าว อ้อย ข้าวโพด ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และมันสำปะหลัง 63% ไม่ได้ใช้พาราควอตในการกำจัดวัชพืช นั่นหมายถึงมีสารกำจัดวัชพืชชนิดอื่นและวิธีการในการจัดการวัชพืชที่มีประสิทธิภาพมากกว่าพาราควอตอยู่แล้ว หากแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้รวบรวมองค์ความรู้เหล่านี้มาเผยแพร่ในวงกว้าง

3. ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ก่อนจะยกเลิกการใช้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสในปี 2562 หากพบว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนของเกษตรกร เสนอให้กระทรวงการคลังศึกษาและจัดเก็บภาษีจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีอันตรายร้ายแรง มาใช้ในการเยียวยาผลกระทบและสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีจัดการวัชพืชที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะลดผลกระทบจากการถูกกีดกันทางการค้าจากความไม่ปลอดภัยของสารพิษตกค้าง การละเมิดสิทธิเกษตรกรที่ใช้สารพิษที่อันตรายร้ายแรง ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรของไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกในระยะยาว