นายกฯโชว์ผลงานบริหารจัดการน้ำสร้างระบบวางกลไกมีองค์กร-กม.รองรับ

04 มิ.ย. 2561 | 10:09 น.
นายกฯ แจงผลงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ สร้างระบบให้เอกภาพ วางกลไกการบริหารประสบผลสำเร็จ มีองค์กรกำกับดูแลชัดเจน เร่งคลอดกฎหมายทรัพยากรน้ำ พ.ศ. รองรับ และวางยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำไว้ถึง 6 ด้าน พร้อมสั่งทุกหน่วยงานเตรียมรับมือน้ำหลากในปีนี้

วันนี้ (4 มิ.ย. 61) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการเสวนาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจและทราบถึงสถานการณ์น้ำ และแนวทางการบริหารจัดการน้ำภาพรวมของประเทศ รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมการบูรณาการของหน่วยงานต่างๆ ด้านทรัพยากรน้ำ 38 หน่วยงาน ตามที่รัฐบาลได้ปรับปรุงกลไกในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศใหม่ให้มีระบบและมีเอกภาพยิ่งขึ้น จากเดิมที่ยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบโดยตรง โดยได้วางกลไกการบริหารใหม่ในลักษณะ 3 เสา ประกอบด้วย 1. ด้านกฎหมาย จะมีการตราพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำขึ้นมา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 คาดจะพิจารณาแล้วเสร็จและประกาศใช้ภายในปี 2561 นี้อย่างแน่นอน
tuwa 2.ด้านองค์กรรับผิดชอบเรื่องน้ำในระดับชาติ มีการตั้งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ขึ้นมา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ส่วนคณะกรรมการ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้ทรงคุณวุฒิ มีเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ รวม 24 คน และให้มีคณะอนุกรรมการฯ อีก 4 คณะ เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย และขับเคลื่อนแผนงานตามยุทธศาสตร์น้ำที่สำคัญ

นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ขึ้นมา เป็นหน่วยงานกำกับดูแลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ก็เพื่อความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการน้ำ ส่วนในระดับลุ่มน้ำได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำขึ้นมา ซึ่งปัจจุบันรอการแต่งตั้งและสรรหากรรมการภายหลังร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ…..ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาดังกล่าวประกาศมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะประกอบด้วย ผู้แทนภาคราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ใช้น้ำภาคส่วนต่างๆและผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่ลุ่มน้ำ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานในระดับภูมิภาคของ สทนช. เป็นกรรมการและเลขานุการ
tuwa1 สทนช.จะทำหน้าที่รับนโยบายจาก กนช.ไปกำกับและติดตามให้เกิดผลเป็นรูปธรรมแล้ว ยังต้องทำหน้าที่รวบรวมจัดทำข้อมูลน้ำแห่งชาติที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ และบูรณาการแผนงาน โครงการและงบประมาณด้านน้ำที่ปัจจุบันได้กระจายอยู่ตามหน่วยปฏิบัติใน 8 กระทรวง และอยู่ในพื้นที่จังหวัด กลุ่มจังหวัด ภาค ให้เกิดการแก้ไขปัญหาน้ำที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบและ 3. ด้านแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ปี 2558 - 69) เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์หลัก ดังนี้

ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค โดยมีเป้าหมายพัฒนาประปาหมู่บ้าน 7,490 หมู่บ้าน ปรับปรุงประปาหมู่บ้าน 9,093 หมู่บ้าน ชุมชนเมือง มีระบบประปาเพิ่มขึ้น 255 เมือง และขยายเขตประปา 688 แห่ง ขณะนี้ จัดทำประปาหมู่บ้านแล้วเสร็จ 7,234 แห่ง คงเหลืออีก 256 หมู่บ้าน ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 สำหรับแผนการดำเนินการต่อไป จะดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพประปาเดิม ขยายประปาโรงเรียนให้ถึงชุมชน พัฒนาคุณภาพน้ำประปาให้ได้มาตรฐาน รวมทั้งขยายประปาเมือง พื้นที่เศรษฐกิจ และเมืองท่องเที่ยว จะทำให้มีน้ำอุปโภคบริโภคครบทั้งประเทศ พร้อมทั้งมีคุณภาพได้มาตรฐานและราคาที่เหมาะสม
tuwa2

ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต เพื่อจัดหาน้ำต้นทุน สร้างความมั่นคงในภาคการผลิตเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยมีเป้าหมายพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำได้ไม่น้อยกว่า 9,500 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) เพิ่มพื้นที่ชลประทาน ไม่น้อยกว่า 8.7 ล้านไร่ รวมทั้งจัดหาน้ำเพื่อพัฒนาด้านเศรษฐกิจ มีเป้าหมายสำคัญในภาคตะวันออกเพื่อรองรับความต้องการของพื้นที่เดิม และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษในภาคต่าง ๆ

ขณะนี้สามารถเพิ่มปริมาณการเก็บกักน้ำเพื่อการเกษตร และอุตสาหกรรม ได้ 2,358 ล้านลบ.ม. โดยแยกเป็นการพัฒนาแหล่งน้ำชลประทานเพิ่มปริมาณน้ำได้ 1,418 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ 2.39 ล้านไร่ การพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาตินอกเขตชลประทาน เพิ่มปริมาณน้ำได้ 875 ล้านลบ.ม. ประกอบด้วย การขุดสระน้ำในไร่นา จำนวน 180,278 บ่อ อนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ 6,461 แห่ง การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร จำนวน 221,100 ไร่ จัดรูปที่ดินเพื่อการเกษตรได้จำนวน 7,490 ไร่ รวมทั้งยังได้พัฒนาแก้มลิงเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำและระบบชลประทานได้อีก 470 แห่ง

tuwa3

สำหรับแผนการดำเนินการต่อไป โดยกำหนดเป้าหมาย 20 ปีพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนทุกรูปแบบ 20,517 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มพื้นที่ชลประทาน 18 ล้านไร่ เพิ่มประสิทธิภาพโครงการชลประทานเดิม พัฒนาระบบผันน้ำ และอนุรักษ์แหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยมีโครงการสำคัญในปี 2562 - 65 ได้แก่ แผนพัฒนาน้ำต้นทุนรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โครงการเพิ่มน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพล โครงการเพิ่มน้ำต้นทุนเขื่อนลำตะคอง และโครงการผันน้ำ โขง เลย ชี มูล จะทำให้ประเทศไทยมีน้ำต้นทุนมั่นคงยิ่งขึ้น

ยุทธศาสตร์ที่ 3 การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย เพื่อลดความเสียหายจากอุทกภัยของชุมชนเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ โดยมีเป้าหมายปรับปรุงเพิ่มอัตราการไหลของน้ำ มากกว่าร้อยละ 10 ในลำน้ำสายหลัก 870 กิโลเมตร ลดความเสียหายจากน้ำล้นตลิ่งในลุ่มน้ำวิกฤต 10 ลุ่มน้ำ ป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมือง 185 แห่ง ปัจจุบันได้ทำการขุดลอกลำน้ำสายหลัก สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการระบายได้แล้ว 292 กิโลเมตร พร้อมจัดทำการป้องกันน้ำท่วมชุมชนได้ 63 แห่ง พัฒนาพื้นที่รับน้ำนองในพื้นที่ทุ่งบางระกำและลุ่มน้ำเจ้าพระยา 12 ทุ่ง แก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำในภาคใต้

tuwa5

สำหรับแผนการดำเนินการต่อไป จัดทำผังน้ำ และทางระบายน้ำในทุกแม่น้ำสายหลักของทุกลุ่มน้ำ จะดำเนินการปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำที่เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำทั่วประเทศ บรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างทั้งระบบ และจัดทำผังการระบายน้ำในระดับจังหวัด เมืองและพื้นที่เฉพาะ โดยโครงการสำคัญในปี 2562 - 65 ได้แก่ โครงการประตูระบายน้ำลำน้ำพุง-น้ำก่ำ จ.สกลนคร แผนบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยา 9 แผน โครงการคลองระบายน้ำบางบาล-บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา และโครงการอุโมงค์ระบายน้ำในเขต กทม. จะทำให้พื้นที่น้ำท่วมเขตเมืองและระดับลุ่มน้ำลดลง

ยุทธศาสตร์ที่ 4 การจัดการคุณภาพน้ำ เพื่อให้แหล่งน้ำมีคุณภาพอยู่ในระดับพอใช้ขึ้นไป โดยมีเป้าหมายพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสีย 201 แห่ง เพิ่มประสิทธิภาพระบบบำบัดน้ำเสีย 47 แห่ง ลดปริมาณน้ำเสียจากแหล่งกำเนิดในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ท่าจีน ป่าสัก มูล ชี ควบคุมความเค็ม บริเวณปากแม่น้ำไม่ให้เกินค่ามาตรฐานการเกษตรและการประปา กำจัดวัชพืชและขยะลอยน้ำ ซึ่งขณะนี้สามารถดำเนินการจัดทำระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียชุมชนได้ 53 แห่ง จัดทำบ่อสังเกตการณ์น้ำบาดาลและตรวจติดตามคุณภาพน้ำบาดาลในพื้นที่ทิ้งขยะ จำนวน 19 แห่ง และการควบคุมระดับความเค็ม 3 ลุ่มน้ำ คือ ลุ่มน้ำภาคใต้ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก และลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันตก สำหรับแผนการดำเนินการต่อไป จะดำเนินการพัฒนาระบบติดตาม/เฝ้าระวังให้ในพื้นที่วิกฤติ จัดการน้ำเสียที่แหล่งกำเนิด นำน้ำเสียที่บำบัดแล้วกลับมาใช้ใหม่ และการฟื้นฟูแม่น้ำลำคลอง โดยมีโครงการสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาคลองเปรมประชากร เป็นต้น

ยุทธศาสตร์ที่ 5 การฟื้นฟูป่าต้นน้ำและพื้นที่เสื่อมโทรม เพื่อปรับสมดุลระบบนิเวศโดยมีเป้าหมายฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำ 4.77 ล้านไร่ ซึ่งจะทำให้เกิดป่าต้นน้ำที่อุดมสมบูรณ์ลดความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ซึ่งปัจจุบันได้ฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมในพื้นที่ภาคต่าง ๆ แล้วรวม 368,481 ไร่ สำหรับแผนการดำเนินการต่อไป จะดำเนินการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 8.35 ล้านไร่ ป้องกันและลดการพังทลายของดินในพื้นที่ลาดชัน และจัดทำผังพื้นที่อนุรักษ์ โดยมอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปจัดทำแผนงานร่วมกับแผนหลักการฟื้นฟูพื้นที่ป่าทั่วประเทศ
tuwa6 และยุทธศาสตร์ที่ 6 การบริหารจัดการ ได้ตั้งเป้าหมายให้มีองค์กร กฎหมาย ระบบข้อมูล การประชาสัมพันธ์ และการติดตามประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ รวมทั้งผลักดันพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ จัดตั้งหน่วยงานกลาง และจัดตั้งศูนย์ข้อมูลน้ำแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์น้ำที่มีการเปลี่ยนแปลงจากสภาพ ภูมิอากาศ เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้จัดตั้ง สทนช. ให้เป็นหน่วยงานกลางด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ พร้อมทั้งได้มีการพัฒนาระบบข้อมูลสนับสนุนการ ตัดสินใจ ในการวางแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งภาวะปกติและภาวะวิกฤตแล้วเสร็จจำนวน 22 ระบบ

เช่น งานแผนที่ แบบจำลอง ระบบพยากรณ์เตือนภัย เป็นต้น สำหรับแผนการดำเนินการต่อไป จะดำเนินการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจาก 12 ปี เป็น 20 ปี (พ.ศ.2561-80) เร่งรัดประกาศใช้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ บริหารแผนงานโครงการและงบประมาณให้ครอบคลุมทั้งเชิงพื้นที่ ภารกิจ และนโยบาย ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการสร้างความเข้าใจของประชาชน ประเมินผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำของประเทศ รวมทั้ง ให้มีศูนย์อำนวยการข้อมูลสารสนเทศทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในกรณีฉุกฉิน เพื่อแก้ไขวิกฤติน้ำของชาติ

ด้านนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้การบริหารจัดการน้ำทรัพยากรน้ำของประเทศ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบชัดเจน มีระบบและมีความเป็นเอกภาพจากทุกภาคส่วน สอดคล้องกันในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งเป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ตลอดจนการจัดให้มีองค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทั้งในระดับชาติ ระดับลุ่มน้ำ และระดับองค์กรผู้ใช้น้ำ และยังจะมีการปรับปรุงยุทธศาสตร์ฯ น้ำ 20 ปี ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งจะได้มีการตราพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำขึ้นมาบังคับใช้อีกด้วย
โปรโมทแทรกอีบุ๊ก-6 ทั้งนี้ สถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝนปี 2561 นี้ คาดว่า จะมีค่าฝนเฉลี่ยน้อยกว่าปกติ 5 – 10 % และน้อยกว่าปี 2560 โดยอาจจะเกิดฝนทิ้งช่วง ในเดือนมิถุนายน 2561 และจะมีโอกาสเกิดพายุเข้าประเทศไทยจำนวน 1 - 2 ลูก ในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2561 ซึ่งได้มีการวางแผนเพาะปลูกข้าวในช่วงฤดูฝน ไว้จำนวน 60 ล้านไร่ทั่วประเทศ พร้อมทั้งได้มีการวางแผนจัดสรรน้ำเพื่อใช้ในทุกภาคส่วน รวม 88,771 ล้าน ลบ.ม. ทั้งนี้หลังสิ้นฤดูฝนคาดว่าจะมีน้ำต้นทุนสำหรับพื้นที่การเกษตรฤดูแล้ง ปี 2561/62 ประมาณ 60,064 ล้านลบ.ม. มากกว่าปี 2560 จำนวน 10,910 ล้านลบ.ม.

ทั้งนี้ กาารเตรียมความพร้อมรับมือน้ำหลากในปีนี้นั้น รัฐบาลได้สั่งการให้กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเตรียมการรับมือสถานการณ์น้ำหลาก โดยให้ สทนช. ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการบูรณาการการบริหารจัดการน้ำในฤดูน้ำหลาก การจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ ตลอดจนการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

e-book-1-503x62