แห่ซื้อทรัพย์รอขาย! นักลงทุนหวังผลตอบแทน 15-20%

07 มิ.ย. 2561 | 12:14 น.
070661-1859

2 บริษัทบริหารสินทรัพย์รัฐ ชี้! นักลงทุนรายใหญ่ ทั้งไทย-เทศ ผู้ประกอบการอสังหาฯ แห่ซื้อทรัพย์รอการขาย ส่งผลแบงก์เร่งขายหนี้ NPL-NPA ลดภาระกันสำรอง ด้าน บสส. เผย อพาร์ตเมนต์-โรงงาน แห่ซื้อเก็งยีลด์ระยะยาว 15-20% ขณะที่ บสก. ระบุ 5 เดือน ประมูลแล้ว 4,500 ล้าน

นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของสินทรัพย์รอการขาย (NPA) ในปีนี้ จะเติบโตค่อนข้างดี โดยตัวเลขไตรมาสที่ 1 สามารถขายได้แล้วกว่า 1,357 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 40% จากเป้าหมายปี 2561 ที่ตั้งไว้ 3,200 ล้านบาท เมื่อเทียบกับยอดขายช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 880 ล้านบาท

โดยปัจจัยการเติบโตมาจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศ ภาคเอกชนมีการขยายการลงทุน ส่งผลให้ยอดการเติบโตในไตรมาสที่ 1 ขยายตัวดีขึ้น ทั้งจากลูกค้าธุรกิจ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่กำลังหาโอกาสทำธุรกิจ เช่น ตึกแถว และกลุ่มนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์เพื่อการลงทุน อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มสินทรัพย์รายย่อยจะเห็นการซื้อเพื่อลงทุนไม่มาก ประมาณ 20% แต่จะเห็นนักลงทุนที่ซื้อเพื่อการลงทุนเกือบ 100%

ด้าน นายสหรัตน์ เพ็ญกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริหารสินทรัพย์รอการขาย บสส. กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน เริ่มเห็นสัญญาณผู้ประกอบการรายใหญ่ หรือ นักลงทุน เริ่มซื้อสินทรัพย์รอการขาย (NPA) เพื่อการลงทุนชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากตลาด NPA มีแนวโน้มอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น จากปีก่อนเติบโตทรงตัวอยู่ที่ระดับ 0% แต่ปีนี้คาดว่า อัตราการขยายตัวจะอยู่ที่ 4-5% ประกอบกับเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตเข้าสู่ New Normal ที่ขยายตัว 3-4% ซึ่งช่วยสนับสนุนการซื้อเพื่อลงทุนของผู้ประกอบการ


MP24-3371-A

ส่วนปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของตลาด NPA ในปีนี้ จะมาจาก 3 ปัจจัยด้วยกัน คือ 1.การเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ จะเห็นว่า ภาครัฐได้อนุมัติโครงการลงทุนต่าง ๆ เริ่มทยอยออกมา เช่น รถไฟทางคู่ , รถไฟความเร็วสูง และท่าเรือ ซึ่งหนุนให้ไทยเป็น Domestic Center , 2.ราคาที่ดินของไทยยังมีราคาถูกเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ถึง 2 ใน 3 ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับคนที่ซื้อและถือครองไว้ เพราะราคาจะไม่กระโดด และ 3.ในระยะต่อไป ที่ดินราคาถูกจะหาซื้อมือ 2 หมด โดยปัจจุบัน สัดส่วนประมาณ 2 ใน 3 จะเป็นมือ 2 และคาดว่า ภายใน 5 ปี สินทรัพย์จะเป็นมือ 2 ทั้งหมด ทำให้ราคาบ้านมือ 2 จะเริ่มถูกลง

การซื้อสินทรัพย์เพื่อการลงทุน หรือ แสวงหาผลตอบแทน (Yield) โดยเฉพาะอพาร์ตเมนต์ใหม่ อย่างน้อยเฉลี่ย 15-20% โดยจะคุ้มทุนระยะ 7-15 ปี หรือ โรงงาน จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวเฉลี่ย 8-12% โดยเฉลี่ยทั้งพอร์ตการลงทุนของผู้ประกอบการ หรือ ธุรกิจเอสเอ็มอี จะอยู่ที่ราว 25-30%

"ตอนนี้ ใครซื้อหรือถือครองสินทรัพย์เอ็นพีเอไว้ น่าจะดี เพราะมีแนวโน้มเติบโตขยายตัวต่อเนื่อง เพราะราคาที่ดินเริ่มสูงขึ้นตามการเติบโตของตลาด ที่ปีนี้น่าจะโตได้ราว 4-5% จากปีก่อนไม่โตเลย"


 

[caption id="attachment_287957" align="aligncenter" width="395"] บรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการและรักษาการกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ บสก. บรรยง วิเศษมงคลชัย
กรรมการและรักษาการกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ บสก.[/caption]

ขณะที่ นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการและรักษาการกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ บสก. กล่าวว่า 5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทเข้าประมูลซื้อเอ็นพีแอลประมาณ 4,500 ล้านบาท จากเป้าทั้งปีเกือบ 9,000 ล้านบาท โดยมีความคืบหน้าประนอมหนี้ที่อนุมัติและรอรับชำระราว 12,000 ล้านบาท และอีกประมาณ 15,000 ล้านบาท กำลังเจรจาคาดว่า จะทำได้ตามเป้าจัดเก็บรายได้ที่ตั้งไว้ทั้งปี 16,436 ล้านบาท ซึ่งรวมเอ็นพีแอลและยอดขายเอ็นพีเอ

"ที่ผ่านมา โดยหน้าที่บริษัทต้องเข้าประมูลทุกกอง เพื่อให้ราคาไม่ตก แต่ปีนี้มีผู้เล่นหน้าใหม่ ทั้งบริษัทที่ชาวญี่ปุ่นและชาวตะวันตกถือหุ้น นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สนใจซื้อที่ดินแปลงใหญ่ เพื่อลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ จึงมีการแข่งขันในตลาด ทำให้ขายทรัพย์ได้ราคา"

ส่วนแนวโน้มจะเห็นธนาคารขายเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอออกมา เพื่อลดภาระกันสำรองหนี้ฯ ภาระด้านบุคลากร และมุ่งเน้นธุรกิจหลัก โดยทั้งปีนี้ บริษัทจะเข้าประมูลเอ็นพีแอลราว 70% โดยเป็นเงินต้นที่ 4 หมื่นล้านบาท จากทรัพย์ที่ธนาคารขายออกกว่า 7 หมื่นล้านบาท

"ภาพรวมทุกธนาคาร ทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ต่างรับรู้ทิศทางกดดันต่อการแข่งขันในธุรกิจธนาคาร ดังนั้น ในอนาคตจะเห็นธนาคารปรับขนาดและวิธีการทำงานให้เกิดความคล่องตัว ประกอบกับภาวะการแข่งขันที่ปรับตัวสูงขึ้นตามกระแสของเทคโนโลยี หรือ ดิจิตอล ที่เข้ามาทำตลาดทางการเงินเพิ่มขึ้นเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้สถาบันการเงินต้องตัดภาระหนี้ที่จะเป็นปัจจัยถ่วง ทั้งเงินทุนสำรอง ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และโอกาสสร้างกำไรในธุรกิจธนาคาร"


……………….
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,371 วันที่ 3-6 มิ.ย. 2561 หน้า 24+23

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
บิ๊กเนมรุมซื้อทรัพย์เนชั่น ‘สมบัติ-กันตนา’ชิงNOW
ธอส.เอาใจคนซื้อทรัพย์ NPA ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน


e-book-1-503x62-7